Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๖ เหริยญทิ่ระลึกเฉฉิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศริพัชรินทราบรมราชินินาถ พระบรมราชชนนิพันปิหลวง

พ.ศ.๒๔๕๖ เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พ.ศ.๒๔๕๖ เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นที่ระลึกในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงมีพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษา เหรียญนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า “เหรียญหมู”

อนึ่ง เหรียญนี้สร้างขึ้นเป็น 2 แบบ อีกแบบหนึ่งต่างกันเฉพาะข้อความที่ด้านหลัง ดังนี้”งานเฉลิมพระชนม์พรรษา” “สมเด็จพระศรีพัชรินทรา” “บรมราชินีนาถ” “พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง”

ลักษณะ กลมแบน ขอบเรียบ มีห่วงอยู่ด้านบน
ด้านหน้า เป็นรูปหมูลงยาสีชมพู ยืนแท่น หันหน้าทางซ้ายของเหรียญ ริมขอบมีข้อความว่า “ปีกุญ พ.ศ.๕๖ของสิ่งนี้เป็นที่รฦก” “ว่าล่วงมาครบ ๕๐ ปีบริบูรณ์”
ด้านหลัง กลางเหรียญเป็นรูปจักรี ริมขอบมีข้อความซ้อน 2 แถว ความว่า “ขอเชิญท่านจงจำรูปหมู่นี้ คือ เสาวภา ซึ่งอุบัติมาเป็นเพื่อน” “ร่วมชาติภพ อันมีใจหวังดีต่อท่านเสมอ”

ชนิด ทองคำลงยา เงินลงยา ทองคำ เงิน
ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 27 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2456

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

พ.ศ. ๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

พ.ศ. ๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

 

เหตุการณ์ รศ.๑๑๒(พ.ศ.๒๔๓๖)เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวไทยตระหนักดีถึงความเจ็บช้ำที่เราต้องสูญเสียเขตแดนไป ชาติจักรวรรดินิยมในยุโรปในยุคนั้นได้พัฒนาอาวุธยุทธภัณฑ์ให้มีอำนาจการทำลายสูง ไม่มีชาติตะวันออกชาติใดที่สามารถต้านทานด้วยกำลังหอกดาบได้

แม้แต่ จีน และ อินเดีย มหาประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม มีอำนาจทางการทหารมาแต่อดีตกาล ยังต้องศิโรราบต่อชาติจักรวรรดินิยมยุโรปเหล่านี้ ประเทศต่างๆทั่วโลกต้องยอมตกเป็นเมืองขึ้น ยอมเสียเปรียบทางการค้า เพื่อรอดพ้นจากการทำลายล้าง

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจชาวไทยทุกคนให้คิดช่วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ เพื่อป้องกันประเทศ อันมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า ๑,๕๐๐ ไมล์ ที่ต้องมีกำลังทางเรือที่เข้มแข็ง ไม่ให้ชาติใดมารุกรานได้

นับเป็นการใช้นโยบายทางการฑูตด้วยพระปรีชาสามารถ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปในปี รศ.๑๑๖ และ ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐ และ ๒๔๕๐) ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับจักรวรรดิรัสเซียและรัสเซีย อันเป็นประเทศมหาอำนาจในยุโรป

เพื่อคานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังจะยึดภาคใต้ของเราตั้งแต่บางสพานไปจนตลอดแหลมมลายูและจากนั้นก็เฉือนประเทศไทยออกทีละส่วนจนหมดสิ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงรักษาแผ่นดินส่วนใหญ่ให้พ้นจากเงื้อมมือของชาติจักรวรรดินิยมทั้งสอง รักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ชาติเดียวในแถบนี้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้ไม่นาน ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในยุโรป ในเดือนสิงหาคม ๒๔๕๗ เพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชน จึงทรงรักษาความเป็นกลาง ขณะเดียวกันก็ทรงติดตามข่าวสารโดยตลอด

แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์
ศัตรูกล้ามาประจัญ จักอาจสู้ริปูสลาย
(พระราชนิพนธ์ ปลุกใจเสือป่า)

ด้วยความสำนึกในพระราชนิพนธ์ปลุกใจเสือป่า ที่ทรงตระหนักถึงภัยอันตรายอาจเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นในยามสงบจึงควรเตรียมพร้อมไว้เพื่อรับมืออริราชศัตรูได้ทุกเมื่อ จึงในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้มีข้าราชการ และ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเห็นว่า ประเทศไทย มีชายฝั่งทะเลยาวกว่า ๑,๕๐๐ไมล์ แม้กิจการกองทัพเรือได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาแล้วก็ตาม

ยังขาดเรือรบที่มีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรให้จัดเรี่ยไรทุนทรัพย์จัดหาเรือรบขึ้นทูลเกล้าฯถวาย พร้อมทั้งจัดตั้งสมาคมขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางโดยมีอำมาตย์เอก เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (ม.ร.ว. ลบ สุทัศน์) เป็นประธาน ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรือว่า “พระร่วง”

อันเป็นพระนาม วีรกษัตริย์ แห่งกรุงสุโขทัย และพระราชทาน นามสมาคมว่า “ราชนาวีสมาคม แห่งกรุงสยาม THE ROYAL NAVY LEAGUE OF SIAM” พร้อมรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท

พร้อมทั้งเงินที่เหลือจากงานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เมื่อรัชกาลที่ ๕ ครองราชสมบัตินานนับวันได้เป็น ๒ เท่าของรัชกาลที่ ๔ ปี รศ.๑๒๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖) พร้อมดอกผลเป็นเงิน ๑๑๖,๓๒๔ บาท เป็นทุนประเดิม ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๗ อันเป็นวันแรกตั้งสมาคม

คณะกรรมการสมาคมได้จัดพิมพ์คำชักชวนชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมเป็นสมาชิกและสละทรัพย์สิน เพื่อรวบรวมกันจัดหาเรือพระร่วง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๕๗ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ๔๐,๐๐๐ บาทด้วย

 

สมุทสาร วารสารของ ราชนาวีสมาคม แห่งกรุงสยาม

เมื่อราชนาวีแห่งกรุงสยามได้จัดตั้งขึ้นแล้ว คณะกรรมการได้จัดสร้างดวงตราประทับชาดดวงหนึ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ ซ.ม. เป็นลายรูปช้างป่าลิไลย์นั่งแทบฝั่งน้ำงวงชูหม้อน้ำ มีอักษรที่ขอบเบื้องบนว่า “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม” ใช้ประทับเป็นเครื่องหมายสำคัญ ในการกิจการสมาคม และ ได้ออกวารสาร “สมุทสาร”

เพื่อเผยแพร่วิชาการทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ลงพิมพ์ในวารสารนี้หลายคราว เช่น สุภาษิตพระร่วง เป็นกลบท ตอนหนึ่ง

นา  วีประหนึ่งรั้ว  ริมฝั่งทเลแฮ
วา ระเมื่อศึกยัง  สงบไซร้
ของ เครื่องกอบกำลัง ควรจัด พร้อมนา
สยาม จึ่งคิดจักให้  จัดสร้างนาวี
นาม มีปรากฏแล้ว  เรือลาด กระเวนแฮ
ว่า  พระร่วงเหมือนราช กั่นกล้า
พระ  องค์พระเก่งกาจ  แกล้วกั่น ฉันใด
ร่วง  จุ่งช่วยเรือข้า กาจแม้นนามกร
(สะกดการันต์ตามต้นฉบับ)

นายชิต บุรทัต ได้แต่งโคลงกระทู้วิชชุมมาลาคำฉันท์ เรื่อง “ชาติปิยานุศร” เพื่อเชิญชวนชาวไทยเข้าเรี่ยไร สร้างเรือพระร่วงถวายด้วยดังความตอนหนึ่ง

เชิญ  ไทยอย่าทอดทิ้ง   ธูรบำ รุงเทอญ
เข้า  ส่วนธนสารสำ หรับเกื้อ
เรี่ย  รายแต่ตามกำ  ลังแห่ง ตนแฮ
ราย  ละมากน้อยเอื้อ ออกให้กรรมการฯ
สร้าง  ยุทธยามแกว่นแกล้ว กลางมหา สมุทแฮ
เรือ  พระร่วงรณพาห์ เพื่อไว้
รบ สู้ศัตรูมา หมายเบียฑ เบียฬแฮ
ถวาย พระจอมมกุฎไซร้ อุทิสด้วยกตัญญู

เมื่อสมาคมได้เริ่มรับบริจาคเงินมาได้ครบรอบ ๑ ปี ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๕๘ ได้จัดสร้างเข็มราชนาวีสมาคม ขึ้นเพื่อสมนาคุณแก่สมาชิกผู้บริจาคทรัพย์ใช้ติดเสื้อหรือสไบ มีชั้นเดียวและได้ประกาศในพระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม

พระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า กรรมการราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามได้สร้างเข็มขึ้นอย่างหนึ่ง มีรูปแลลักษณ คือ เปนรูปช้างหมอบงวงชูหม้อน้ำ ขอบเปนลายกนกมีอักษรจารึกทางขอบขวาว่า “ราชนาวีสมาคม” ทางขอบซ้ายว่า “แห่งกรุงสยาม” ทำด้วยเงินมีขนาดคือ

ก. วัดตามเส้นดิ่งแต่ยอดเข็มถึงที่สุดขอบล่างได้ ๔๕ มิลิเมเตอร์
ข. วัดตามเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๓๐ มิลิเมเตอร์

กับมีแพรแถบสีแดงชาดทำเปนรูป ๔ เหลี่ยม กว้าง ๒๗ มิลิเมเตอร์ ยาว ๔๕ มิลิเมเตอร์ สำหรับสอดติดกับเข็มสำหรับให้สมาชิกและสมาชิกาของราชนาวีสมาคมใช้ติดเสื้อฤากลัดสไบเป็นเครื่องประดับ

เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าผู้นั้นๆได้เป็นสมาชิกฤาสมาชิกของราชนาวีสมาคม กรรมการราชนาวีสมาคมขอพระราชทานพระบรมเดชานุภาพ เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน เพื่อมิให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของ ราชนาวีสมาคมใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับ เพื่อปลอมว่าตนเป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมแห่งนี้ได้

ทรงพระราชดำริเห็นว่า สมาคมนี้ได้จัดตั้งขึ้นด้วยความปรารถนาจะอุดหนุนราชการทหาเรือซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของรัฐบาลสยาม แลได้ทรงรับไว้ใน พระบรม ราชูปถัมป์แล้ว จึงเป็นการสมควรที่จะทอดพระราชอาณาปกครองเข็มนี้ให้มีเกียรติคุณโดยพิเศษ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ แลให้ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นต้นไป

มาตรา ๒ เข็มของราชนาวีสมาคม ซึ่งมีรูปแลลักษณดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ ให้ใช้ประดับสำหรับเป็นเครื่องหมายแห่งสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมนี้โดยเฉพาะ แลเข็มนี้มีชั้นเดียวกันทั่วไป

มาตรา ๓ ผู้ที่เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมจะใช้เข็มนี้กลัดเสื้อ ฤากลัดสไบเป็นเครื่องประดับได้ทุกเมื่อ ถึงแม้เวลาแต่งเครื่องแต่งกายตามยศทหารฤายศพลเรือน ก็ให้ใช้ประดับเข็มนี้ด้วยได้

มาตรา ๔ ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้เป็นสมาชิดฤาสมาชิกา ของราชนาวีสมาคมใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับเป็นอันขาด

มาตรา ๕ ผู้ที่เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมนี้แล้วภายหลังได้ขาดจากสมาชิกฤาสมาชิกาแล้วตามข้อบังคับของสมาคมนั้นแล้ว ในระหว่างเวลานั้นจะใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับไม่ได้ ต่อเมื่อผู้นั้นได้กลับเข้าเป็นสมาชิก ฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมตามข้อบังคับของสมาคมนั้นแล้ว จึงให้ใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับได้ต่อไป

มาตรา ๖ ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใด สร้างเข็มนี้ขึ้นด้วยความประสงค์อย่างใดๆ โดยมิได้รับอนุญาตจากกรรมการาชนาวีสมาคมเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา ๗ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำผิดต่อพระราชบัญญัตินี้ ให้ลงโทษผู้นั้นฐานสร้าง ฤาประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปลอม

มาตรา ๘ ให้เสนาบดีมุรธาธรเป็นเจ้าน่าที่รักษาพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัตินี้ตราไว้แต่ ณ วันที่ ๑ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นวันที่ ๑๘๔๗ ในรัชกาลปัตยุบันนี้

 

เรือพระร่วง

กิจการของสมาคม ได้แพร่หลายไปทุกมณฑลทั่วประเทศ ประชาชนทั่วพระราชอาณาจักรต่างร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง เพื่อใช้ป้องกันพระราชอาณาจักรยอดเงินบริจาคถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๔๕๘ อันเป็นเวลาเพียง ๑ ปี ๑ เดือนเป็นเงินถึง ๑,๗๙๓,๙๙๔.๘๕ บาท

ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๔๖๓ ได้เงินรวม ๒,๕๙๑,๒๔๖.๖๕บาท กับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอีก เป็นเงินรวมทั้งสิ้นถึง ๓,๕๑๓,๙๐๔.๐๑ บาท แล้วคณะกรรมการจึงเห็นพร้อมกันทูลเชิญ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็น

ข้าหลวงพิเศษเดินทางไปคัดเลือกเรือรบได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด นามว่า“เรเดียนท์” สร้างโดย บริษัท ธอร์นิครอฟท์ ประเทศอังกฤษ ขนาดระวางขับน้ำ ๑,๐๔๖ ตัน ยาว ๘๓.๕๗ เมตร กว้าง ๘.๓๔ เมตร กินน้ำลึก ๔ เมตร อาวุธปืนใหญ่ ขนาด ๑๐๒ มม. ๓ กระบอก ๗๖ มม. ๑ กระบอก ต่อมา ติดปืน ๔๐ มม. ๒ กระบอก ๒๐ มม.
๒ กระบอก ตอร์ปิโดขนาด ๒๑ นิ้ว จำนวน ๔ ท่อ มีรางปล่อยระเบิดน้ำลึกและมีแท่นยิงระเบิดน้ำลึก ๒ แท่น ใช้เครื่องจักรไอน้ำชนิด บี ซี เกียร์ เทอร์ไบน์ ๒ เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง ๒๙,๐๐๐ แรงม้า ความเร็วสูงสุด ๓๕ น๊อต ความเร็วมัธยัสถ์ ๑๔ น๊อต มีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ ๑,๘๙๖ ไมล์ ทหารประจำเรือ ๑๓๕

นายเรือลำนี้สร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๙ ครั้นสงครามยุติลงในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ แล้ว อังกฤษยินดีขายให้ในราคา ๒๐๐,๐๐๐ ปอนด์ หรือประมาณ ๒,๑๕๐,๐๐๐ บาท เงินที่เหลือจากการซื้อเรือนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่กองทัพเรือสำหรับใช้สอยเมื่อรับมอบเรือพระร่วงแล้ว กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้เป็นผู้บังคับการเรือ เดินเรือ จากประเทศอังกฤษมาถึงปากน้ำ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๖๓ และท่าราชวรดิษฐ์ วันที่ ๘ ตุลาคม ตลอดทางที่เรือหลวงพระร่วงแล่นผ่าน ประชาชนที่คอยรับอยู่ตามริมน้ำก็เกิดความปรีดาโมทย์กันทั่วหน้า กลั้นความรู้สึกไม่อยู่ พากันเปล่งเสียง ชโย ชโย ไม่รู้ กี่ลา ทั้งเสียงแตร เสียงพลุดังก้องกัมปนาทสนั่นไปทั่วท้องน้ำเจ้าพระยา ด้วยความปลื้มปีติ บรรดาเรือกลไฟใหญ่น้อย ประดับด้วยธงทิว อันงดงามน่าตื่นตา พากันแล่นออกไปรับ เรือพระร่วง เป็นทิวแถว ความเบิกบานเกิดขึ้นทั่วทุกคุ้งน้ำ ลบภาพที่ครั้งหนึ่งชาวไทย ต้องเจ็บช้ำที่ถูกย่ำยีในปี ร.ศ. ๑๑๒ จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา ๓ วัน ครั้น วันที่ ๙ ตุลาคม สภานายกราชนาวีมาคม ได้น้อมเกล้า ถวาย เรือพระร่วง ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิมแล้ว เสด็จพระราชดำเนิน โดยเรือพระร่วงจาก ท่าราชวรดิษฐ์ แล่นไปกลับลำที่ท่าวาสุกรีแล่นลงไปถึงบางคอแหลม ประชาชนที่อาศัยอยู่ทั้งสองฝั่งน้ำได้ส่งเสียงชโย ทั้งเสียงแตร เสียงพลุ ต้อนรับ กึกก้องกัมปนาทไปตลอดทั้งสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา ปีติ ใดจะเท่าเทียม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสรรเสริญ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (พระยศขณะนั้น) ที่ได้ทรงเป็นผู้บัญชาการนำเรือพระร่วงมาสู่พระมหานครโดยสวัสดิภาพ เป็นที่ปลาบปลื้มของเหล่าทหารเรือทุกนาย พระองค์ได้รับขนานพระนามว่า พระบิดาของทัพเรือไทย หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า “เสด็จเตี่ย” นับเป็น อนุสรณ์ แห่งความสามัคคีร่วมมือร่วมใจ เสียสละเพื่อส่วนรวม ของ ชาวไทยทุกหมู่เหล่า ที่ได้ร่วมกันจัดหา เรือพระร่วง ลำนี้ขึ้นมา น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นกำลังป้องกันแผ่นดินอันเป็นที่รักที่อยู่อาศัย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการสนอง พระมหากรุณาธิคุณ ของ พระผู้ทรงธรรม์ ที่น่าสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง การแสดงความสามัคคีของมหาชนชาวสยามเช่นนี้ เป็นที่ประจักษ์อยู่หลายครั้งในอดีต เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การร่วมบริจาคเงินเพื่อสร้าง พระบรมรูปทรงม้าและเงินที่เหลือได้ใช้นำไปสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การสร้าง สพานพระพุทธยอดฟ้า ในคราวฉลองพระนคร ครบรอบ ๑๕๐ ปี การสร้าง โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราช ในคราว สถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ และล่าสุด การบริจาคเงิน และ สิ่งของ โดยเสด็จพระราชกุศลช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ซูนามิ เป็นต้น สิ่งนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความเสียสละของชาวไทยที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ชาติไทยจึงได้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ สุดท้ายนี้ขออัญเชิญ พระราชนิพนธ์ บทชวนรักชาติ พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเสนอแด่ท่านผู้อ่าน

 



ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา  ในหมู่ประชาชาวไทย
แม้ใครตั้งจิตคิดรักตัว  จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน
ควรจะร้อนอกร้อนใจ เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งไรก็ไร้ผล
แม้ชาติย่อยยับอับจน  บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร
ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป  ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ  จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย  ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
เพราะฉะนั้นชวนกันสวามิภักดิ์ จงรักร่วมชาติศาสนา
ยอมตายไม่เสียดายชีวา  เพื่อรักษาอิสระคณะไทย
สมานสามัคคีให้ดีอยู่  จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้
ควรคิดจำนงจงใจ เป็นไทยจนสิ้นดินฟ้า

เอกสารอ้างอิง
– สารานุกรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๑ และ ๒, อนุสรณ์ วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี ๑ มกราคม ๒๕๒๔, กรุงเทพฯ ๒๕๒๔
– ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม, สมุทสาร, หนังสือจดหมายเหตุแถลงการณ์ของราชนาวีสมาคมแห่ง กรุงสยาม แล รวมเรื่องอันเนื่องด้วยการทหารเรือทั่วไป
– มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ดุสิตสมิต เล่ม ๙ ฉบับที่ ๙๓,๙ ตุลาคม ๒๔๖๓, พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคต, ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ กรุงเทพฯ ๒๕๓๖
– ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ สำหรับงานต้อนรับเรือพระร่วง, กรุงเทพฯ, ๑๖ ตุลาคม ๒๔๖๓
– จมื่นอมรดรุณารักษ์ ( แจ่ม สุนทรเวช ) , เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร
ตอน ๑ , องค์การค้าของคุรุสภา

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๐ เหริยญที่ระลึกงานพระราชสงคราม

พ.ศ.๒๔๖๐ เหรียญที่ระลึกงานพระราชสงคราม

พ.ศ.๒๔๖๐ เหรียญที่ระลึกงานพระราชสงคราม

สร้างเพื่อพระราชทานแก่ผู้ไปปฏิบัติราชการในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2460 โดยออกเดินทางเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2461 และสงครามได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2461

ลักษณะ เป็นรูปเสมา ด้านบนมีห่วง
ด้านหน้า มีข้อความว่า


“พระราชทาน
สำหรับงาน
พระราชสงคราม
๒๔๖๐”


ชนิด เงิน
ขนาด กว้าง 25.25 มิลลิเมตร ยาว 32 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2460

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

พ.ศ. ๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

พ.ศ. ๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

The War Medal of B.E. 2461

ใช้อักษรย่อว่า ร.ส. จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความกล้าหาญ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง

พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญนี้ขึ้นสำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ไปพระราชสงครามในทวีปยุโรป (สงครามโลกครั้งที่ ๑) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

ผู้ออกแบบ : หม่อมเจ้าอิทธิเทพสวรรค์ กฤดากร
ผู้ปั้นแบบ : ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป เป็นเหรียญกลมเงิน

ด้านหน้า มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพักตร์เสี้ยวและมีอักษรที่ริมขอบว่า “รามาธิปติสยามินโท วชิราวุธวิสสุโต” แปลว่า สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าจอมสยาม มีพระบรมนามาภิไธยปรากฎว่า “วชิราวุธ”

ด้านหลัง มีรูปวชิราวุธ มีรัศมีพานรองสองชั้น มีฉัตรสองข้าง และมีอักษรที่ริมขอบว่า “งานพระราชสงครามในทวีปยุโรป พระพุทธศักราช ๒๔๖๑” ห้อยกับแพรแถบสีบานเย็น มีริ้วสีดำสองข้าง กว้าง ๓.๕ เซนติเมตร ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๒ เหริยญที่ระลึกฉลองพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา เมเด็จเจ้าฟ้ากาณุรังษีสว่างวงศ์

พ.ศ.๒๔๖๒ เหรียญที่ระลึกฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษา สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์

พ.ศ.๒๔๖๒ เหรียญที่ระลึกฉลองพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์

สร้างเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษี สว่างวงศ์ มีพระชนมายุครบ 60 พรรษา จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงศ์ พระนามเดิม “เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์” เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์เมื่อวันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ.2402 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น “สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช” เป็นจอมพลทหารบกราชองครักษ์จเรทหารบก ทหารเรือ ฯลฯ ต่อมาใน พ.ศ.2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น “สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข” ทิวงคตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2471 ทรงเป็นต้นราชสกุล “ภาณุพันธุ์”

ลักษณะ เป็นรูปเสมา ขอบเรียบ ด้านบนมีห่วง
ด้านหน้า เป็นพระรูปสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ครึ่งพระองค์ ผินพระพักตร์ทางขวาของเหรียญ ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก เบื้องบนมีข้อความว่า “สมเด็จเจ้าฟ้า” เบื้องล่างมีข้อความว่า “ภาณุรังษี สว่างวงษ์”
ด้านหลัง มีข้อความว่า “ฉลองพระชนมายุครบ ๖๐ ปี พ.ศ.๒๔๖๒”
ชนิด ทองคำ เงิน นิเกิล ทองแดง และกะไหล่
ขนาด กว้าง 26 มิลลิเมตร ยาว 32 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2462

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๓ เหริยญที่ระลึกพระราชพิธิบรมศพสมเด็จพระศริพัชรินทรา บรมราชินินาถพระบรมราชชนนิพันปิหลวง

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สร้างเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อ พ.ศ.2463 เหรียญนี้สร้างตามแบบพัดพระพิมานไพชยนต์ ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทรงเขียน ทูลเกล้าฯถวาย

ลักษณะ เป็นรูปไข่ ขอบเรียบ
ด้านหน้า มีคำว่า “ศรี” ภายใต้พระมหามงกุฏ หมายถึง องค์สมเด็จพระศรีพัชรินทร์ฯประดิษฐานบนรถพระพิมานไพชยนต์เทียมม้า 4 มีสารถีถือแส้นำเสด็จสู่สวรรค์ เบื้องขวาเป็นพญานาค เบื้องบนเป็นสายฟ้า(วชิระ)ซึ่งหมายถึงปีพระราชสมภพและพระราชสัญญลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้านหลัง ตอนบนภายในยกขอบโค้งคล้ายใบเสมา มีพระคาถาจารึกว่า


“มาตา ยถานิยํ ปุตตํ
อายุสา เอกปต.ตมนุรก.เข
เอวม.ปิ สพ.พภูเตส
มานสม.ภาวเย อปริมาณํ”


แปลว่า

“มารดาคอยคุ้มครองบุตรของตน
อันเป็นบุตรผู้เดียวด้วยชีวิตฉันใด
ภิกษุพึงบำเพ็ญเมตตาอันมีในใจ
ในภูติทั้งปวง อย่างไม่มีประมาณแม้ฉันนั้น”


ตอนล่าง
มีอักษรไทยอยู่ภายในพวงมาลาความว่า


“สมเด็จ
พระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี
อนุสรณ์
๒๔๖๓”


ชนิด
 เงิน
ขนาด กว้าง 33 มิลลิเมตร ยาว 42 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2463

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๓ เหริยญทิ่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระขาวชิรญาณวโรรส แบบ ๑

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส แบบ 1

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส แบบ ๑

สร้างเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์ที่ 10 วัดบวรนิเวศวิหาร พระนามเดิม “พระองค์เจ้าชายมนุษยนาคมานพ” พระราชโอรสองค์ที่ 47 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอันประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2402 ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ.2416 สมเด็จกรมพระปวเรศ วริยาลงกรณ์ ครั้งยังทรงดำรงพระยศกรมหมื่นบวรรังษี สุริยพันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2422 พระชนมายุครบอุปสมบท ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมรสมเด็จกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ 

พ.ศ.2424 ทรงสอบได้เปรียญ 5 ประโยค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส

พ.ศ.2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตตมาภิเศก ที่วัดบวรนิเวศวิหารสถาปนาพระยศขึ้นเป็น สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงสมศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2464

ลักษณะ กลมแบน ขอบเรียบ
ด้านหน้า เป็นพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ครึ่งพระองค์ผินพระพักตร์ ทางซ้ายของเหรียญ ริมขอบเป็นอักษรอ่านว่า “มนุสส.นาโค วชิรญาณวโรรส”
ด้านหลัง เบื้องบนเป็นรูปเพชรเปล่งรัศมีโดยรอบอันหมายถึง “วชิร” ตอนกลางเป็นอักษรอ่านว่า


“อภิวาทน สีลิส.ส นิจจํ
วุฑฒาปจายิโน
จต.ตาโรธม.มา วฑ.ฒน.ติ
อายุวณ.โน สุขํ พลํ”


แปลว่า “พรสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการกราบไหว้เป็นปกติ นอบน้อมต่อผู้เจริญแล้วเป็นนิจ”

ตอนล่าง 
ลงมามีรูปบัวตูมไขว้กัน 2 ดอก อยู่เหนือเลขศักราช ”๒๔๖๓” ตอนล่างสุดประดับด้วยดอกบัวพร้อมใบอีก 2 ดอก
ชนิด ทองแดง
ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 74 มิลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2463

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๓ เหริยญทิ่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระขาวชิรญาณวโรรส แบบ ๒

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส แบบ 2

พ.ศ.๒๔๖๓ เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส แบบ ๒

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่

ลักษณะ เป็นรูปไข่ ขอบเรียบ ด้านบนมีห่วง
ด้านบน เป็นพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ครึ่งพระองค์ผินพระพักตร์ทางซ้ายของเหรียญ เบื้องบนเป็นรูปเพชรเปล่งรัศมี อันหมายถึง “วชิร” เบื้องล่าง เป็นอักษรอริยกะ (อันเป็นอักษรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐิ์ขึ้น) ความว่า “มนุสส.นาโค วชิรญาณวโรรส”
ด้านหลัง เบื้องบนเป็นรูปดอกบัวบานเหนือน้ำ ถัดลงมาเป็นอักษรอ่านว่า


“อภิวาทน สีลิส.ส นิจจํ
วุทฒาปจายิโน
จต.ตาโร ธม.มา วฑ.ฒน.ติ
อายุวณ.โณ สุขํ พลํ”


แปลว่า “พรสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการกราบไหว้เป็นปกติ นอบน้อมต่อผู้เจริญแล้วเป็นนิจ

ตอนล่าง
 เป็นเลขบอกศักราช “๒๔๖๓” รองรับด้วยดอกบัวตูม 2 ดอก
ชนิด ทองแดง
ขนาด กว้าง 28 มิลลิเมตร ยาว 35 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2463 สร้างคราวเดียวกับ แบบ 1 เพื่อประทานแก่ศิษยานุศิษย์

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๔ เหริยญที่ระลึก รามรามพ

พ.ศ.๒๔๖๔ เหรียญที่ระลึก “รามราฆพ”

พ.ศ.๒๔๖๔ เหรียญที่ระลึก “รามราฆพ”

สร้างเป็นที่ระลึกในงานฉลองสุพรรณบัฐ เมื่อได้รับพระบรมราชโองการเป็นเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2464
เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2433 เป็นบุตรพระยาประสิทธิศุภการ (ม.ร.ว.ละม้าย พึ่งบุญ) กับพระนมทัด พึ่งบุญ ณ อยุธยา เมื่ออายุ 13 ปี ได้ถวายตัวในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรวุธ สยามมกุฏราชกุมาร ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงใน พ.ศ.2453 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น นายขัน หุ้มแพรพ.ศ.2454 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายจ่ายง และเจ้าหมื่นสรรเพชภักดี
พ.ศ.2455 ได้เป็นพระยาประสิทธิศุภการ
พ.ศ.2464 ได้เป็นพระเจ้าพระยารามราฆพ
พ.ศ.2480 ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีคนแรก เมื่อเริ่มจัดตั้งเทศบาลนครกรุงเทพฯขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2480
ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2510

ลักษณะ กลมแบน ขอบเรียบ ด้านบนมีห่วง
ด้านหน้า เป็นรูปพระอินทร์ทรงเอราวัณ พระหัตถ์ทั้งสองถือแพน (หางนกยูง) ขนาบด้วยกอบัว
ด้านหลัง มีข้อความว่า


“รามราฆพ”
๒๔๖๔”


ชนิด ทองคำลงยาสีแดง เงินลงยาสีแดง เงิน
ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 23 มิลลิเมตร
สร้าง พ.ศ.2464

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๔ เหริยญที่ระลึก ๖๐ พรรษา พระนางเจ้าสุขมาลมารศริ พระอรรดราชเทวี

พ.ศ.๒๔๖๔ เหรียญที่ระลึก 60 พรรษา พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอรรคราชเทวี

พ.ศ.๒๔๖๔ เหรียญที่ระลึก ๖๐ พรรษา พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอรรคราชเทวี

สร้างเป็นที่ระลึก 60 พรรษาพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอรรคราชเทวี
สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศี พระนามเดิม พระองค์เจ้าหญิงสุขุมาลมารศรี พระราชธิดาพระองค์ที่ 52 ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเจ้าจอมมารดาสำลี (ธิดาของสมเด็จพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ทัต บุนนาค) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2404

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นพระนางเจ้า สุขุมาลมารศรี พระราชเทวี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอรรคราชเทวี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2470

ลักษณะ เป็นรูปไข่ ขอบเรียบ มีห่วงอยู่ด้านบน
ด้านหน้า ในวงกรอบเป็นมงกุฏผู้หญิง ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า กระหนาบด้วยลายกระหนก นอกกรอบมีพระนาม “พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีพระราชเทวีฯ”

ด้านหลัง มีข้อความว่า


“ที่รฦก
พ.ศ.๒๔๐๔
ถึง
พ.ศ.๒๔๖๔”


ขนาด กว้าง 18 มิลลิเมตร ยาว 26 มิลลิเมตร
ชนิด เงินกาไหล่ทอง
สร้าง พ.ศ.2464