Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญจักพรรดิมาลา

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญจักพรรดิมาลา

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญจักพรรดิมาลา

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. ๒๔๕๔ ๒๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๓๐

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใหม่เรียกว่า “พระราชบัญญัติเหรียญจักพรรดิมาลา รัตนโกสินทรศก ๑๓๐” กำหนดการพระราชทานเหรียญนี้สำหรับข้าราชการพลเรือนที่รับราชการไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปี

นับตั้งแต่เข้ารับราชการให้เป็นบำเหน็จที่รับราชการมั่นคงยืนนานทำนองเดียวกับเหรียญจักรมาลาที่พระราชทานแก่นายทหารซึ่งรับราชการครบกำหนด ๑๕ ปี จึงสมควรแก้ไขพระราชบัญญัติให้สอดคล้องกับพระราชนิยมในระยะหลัง และแก้ไขรูปเหรียญให้เป็นคู่กันกับเหรียญจักรมาลาฝ่ายทหาร กล่าวคือ มีลักษณะเป็นรูปจักร ด้านหน้า มีพระรูปพระครุฑพ่าห์อยู่ในวงจักร ด้านหลัง มีรูปช้างอยู่ในวงจักร มีอักษรจารึกวงรอบว่า “บำเหน็จแห่งความยั่งยืนและมั่นคงในราชการ” ข้างบนมีเข็มวชิราวุธห้อยกับแพรแถบสีแดง ขอบสีเหลืองกับเขียว

มีเข็มเงินเบื้องบนแพรแถบจารึกอักษรว่า “ราชสุปรีย์” สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย และผู้ที่ได้รับพระราชทานนี้ได้รับประกาศนียบัตรเป็นสำคัญด้วย ส่วนผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญจักรมาลาแล้วไม่ต้องรับพระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลาอีก หรือได้รับพระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลารัชกาลที่ ๕ ก็โปรดเกล้าฯ ให้คงใช้อย่างนั้นต่อไป

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญดุษฎีมาลา

พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญดุษฎีมาลา

พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญดุษฎีมาลา

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขเหรียญดุษฎีมาลาให้มีขนาดย่อมกว่าเดิม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๑ เซนติเมตร สูง ๓.๙ เซนติเมตร ส่วนลักษณะอื่นคงเดิม

พ.ศ. ๒๔๕๔ ร.ศ. ๑๓๐

ทรงพระราชดำริว่า เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการในพระองค์ซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่นั้นเป็นการเฉพาะในรัชกาลนั้น ถ้าจะพระราชทานในรัชกาลของพระองค์เป็นการขัดอยู่

จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดวงตราสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์ขึ้นใหม่ เรียกว่า ตราวชิรมาลา ตามพระราชบัญญัติตราวชิรมาลา รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ ได้บัญญัติว่าตราวชิรมาลานี้

สำหรับพระราชทานผู้ที่ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณในพระองค์ และรัชทายาท และราชตระกูล โดยความจงรักภักดีที่จะให้เป็นคุณประโยชน์ เป็นพระเกียรติยศในพระองค์และราชตระกูล

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญราชรุจิรัชกาลที่ ๖

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญราชรุจิรัชกาลที่ ๖

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญราชรุจิรัชกาลที่ ๖

King Vajiravudh’s Rajaruchi Medal (Rama VI)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ ๖ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔

เหรียญนี้มีรูปลักษณะและลวดลายเหมือนเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ ๕ ต่างแต่ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีอักษรที่ริมขอบว่า  “วชิราวุโธ ปรมราชาธิราชา”

ห้อยแพรแถบสีขาบเข้ม กว้าง ๓.๑ เซนติเมตร สำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า (บุรุษ) ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย สำหรับพระราชทานฝ่ายใน (สตรี) แพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย

ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๔ เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๖

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๖

พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๖

King Vajiravudh’s Coronation Medal (Rama VI)

เป็นเหรียญกลม มี ๒ ชนิด เป็นเหรียญกะไหล่ทองและเหรียญเงิน
ด้านหน้า ตรงกลางประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีอักษรที่ขอบว่า “มหาราชา ปรเมน.ทรมหาวชิราวุโธ ส.ยามรช.ชการี พุท.ธสาสนุปต.ถม.ภโก”

ด้านหลัง มีอักษรว่า “ที่รฦกงานบรมราชาภิเศก วันที่ ๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๓๐ พุทธสาสนกาล ๒๔๕๔” ใช้ห้อบกับแพรแถบริ้วสีเหลืองกับดำสลับกัน กว้าง ๓ เซนติเมตร ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญ บรมราชาภิเษกขึ้นเป็นครั้งแรก ปีกุน ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) สำหรับพระราชทานเป็นเหรียญที่ระลึกในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชของพระองค์และถือเป็นราชประเพณีสืบมาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลจะทรงสร้างเหรียญบรมราชาภิเษกของพระองค์สืบต่อมา

ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๕ เหรียญราชนิยม

พ.ศ.๒๔๕๕ เหรียญราชนิยม

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

พ.ศ. ๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

พ.ศ. ๒๔๕๘ เข็มราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม

 

เหตุการณ์ รศ.๑๑๒(พ.ศ.๒๔๓๖)เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวไทยตระหนักดีถึงความเจ็บช้ำที่เราต้องสูญเสียเขตแดนไป ชาติจักรวรรดินิยมในยุโรปในยุคนั้นได้พัฒนาอาวุธยุทธภัณฑ์ให้มีอำนาจการทำลายสูง ไม่มีชาติตะวันออกชาติใดที่สามารถต้านทานด้วยกำลังหอกดาบได้

แม้แต่ จีน และ อินเดีย มหาประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม มีอำนาจทางการทหารมาแต่อดีตกาล ยังต้องศิโรราบต่อชาติจักรวรรดินิยมยุโรปเหล่านี้ ประเทศต่างๆทั่วโลกต้องยอมตกเป็นเมืองขึ้น ยอมเสียเปรียบทางการค้า เพื่อรอดพ้นจากการทำลายล้าง

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจชาวไทยทุกคนให้คิดช่วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ เพื่อป้องกันประเทศ อันมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า ๑,๕๐๐ ไมล์ ที่ต้องมีกำลังทางเรือที่เข้มแข็ง ไม่ให้ชาติใดมารุกรานได้

นับเป็นการใช้นโยบายทางการฑูตด้วยพระปรีชาสามารถ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปในปี รศ.๑๑๖ และ ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐ และ ๒๔๕๐) ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับจักรวรรดิรัสเซียและรัสเซีย อันเป็นประเทศมหาอำนาจในยุโรป

เพื่อคานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังจะยึดภาคใต้ของเราตั้งแต่บางสพานไปจนตลอดแหลมมลายูและจากนั้นก็เฉือนประเทศไทยออกทีละส่วนจนหมดสิ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงรักษาแผ่นดินส่วนใหญ่ให้พ้นจากเงื้อมมือของชาติจักรวรรดินิยมทั้งสอง รักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ชาติเดียวในแถบนี้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้ไม่นาน ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในยุโรป ในเดือนสิงหาคม ๒๔๕๗ เพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชน จึงทรงรักษาความเป็นกลาง ขณะเดียวกันก็ทรงติดตามข่าวสารโดยตลอด

แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์
ศัตรูกล้ามาประจัญ จักอาจสู้ริปูสลาย
(พระราชนิพนธ์ ปลุกใจเสือป่า)

ด้วยความสำนึกในพระราชนิพนธ์ปลุกใจเสือป่า ที่ทรงตระหนักถึงภัยอันตรายอาจเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นในยามสงบจึงควรเตรียมพร้อมไว้เพื่อรับมืออริราชศัตรูได้ทุกเมื่อ จึงในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้มีข้าราชการ และ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเห็นว่า ประเทศไทย มีชายฝั่งทะเลยาวกว่า ๑,๕๐๐ไมล์ แม้กิจการกองทัพเรือได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาแล้วก็ตาม

ยังขาดเรือรบที่มีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรให้จัดเรี่ยไรทุนทรัพย์จัดหาเรือรบขึ้นทูลเกล้าฯถวาย พร้อมทั้งจัดตั้งสมาคมขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางโดยมีอำมาตย์เอก เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (ม.ร.ว. ลบ สุทัศน์) เป็นประธาน ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรือว่า “พระร่วง”

อันเป็นพระนาม วีรกษัตริย์ แห่งกรุงสุโขทัย และพระราชทาน นามสมาคมว่า “ราชนาวีสมาคม แห่งกรุงสยาม THE ROYAL NAVY LEAGUE OF SIAM” พร้อมรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท

พร้อมทั้งเงินที่เหลือจากงานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เมื่อรัชกาลที่ ๕ ครองราชสมบัตินานนับวันได้เป็น ๒ เท่าของรัชกาลที่ ๔ ปี รศ.๑๒๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖) พร้อมดอกผลเป็นเงิน ๑๑๖,๓๒๔ บาท เป็นทุนประเดิม ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๗ อันเป็นวันแรกตั้งสมาคม

คณะกรรมการสมาคมได้จัดพิมพ์คำชักชวนชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมเป็นสมาชิกและสละทรัพย์สิน เพื่อรวบรวมกันจัดหาเรือพระร่วง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๕๗ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ๔๐,๐๐๐ บาทด้วย

 

สมุทสาร วารสารของ ราชนาวีสมาคม แห่งกรุงสยาม

เมื่อราชนาวีแห่งกรุงสยามได้จัดตั้งขึ้นแล้ว คณะกรรมการได้จัดสร้างดวงตราประทับชาดดวงหนึ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ ซ.ม. เป็นลายรูปช้างป่าลิไลย์นั่งแทบฝั่งน้ำงวงชูหม้อน้ำ มีอักษรที่ขอบเบื้องบนว่า “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม” ใช้ประทับเป็นเครื่องหมายสำคัญ ในการกิจการสมาคม และ ได้ออกวารสาร “สมุทสาร”

เพื่อเผยแพร่วิชาการทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ลงพิมพ์ในวารสารนี้หลายคราว เช่น สุภาษิตพระร่วง เป็นกลบท ตอนหนึ่ง

นา  วีประหนึ่งรั้ว  ริมฝั่งทเลแฮ
วา ระเมื่อศึกยัง  สงบไซร้
ของ เครื่องกอบกำลัง ควรจัด พร้อมนา
สยาม จึ่งคิดจักให้  จัดสร้างนาวี
นาม มีปรากฏแล้ว  เรือลาด กระเวนแฮ
ว่า  พระร่วงเหมือนราช กั่นกล้า
พระ  องค์พระเก่งกาจ  แกล้วกั่น ฉันใด
ร่วง  จุ่งช่วยเรือข้า กาจแม้นนามกร
(สะกดการันต์ตามต้นฉบับ)

นายชิต บุรทัต ได้แต่งโคลงกระทู้วิชชุมมาลาคำฉันท์ เรื่อง “ชาติปิยานุศร” เพื่อเชิญชวนชาวไทยเข้าเรี่ยไร สร้างเรือพระร่วงถวายด้วยดังความตอนหนึ่ง

เชิญ  ไทยอย่าทอดทิ้ง   ธูรบำ รุงเทอญ
เข้า  ส่วนธนสารสำ หรับเกื้อ
เรี่ย  รายแต่ตามกำ  ลังแห่ง ตนแฮ
ราย  ละมากน้อยเอื้อ ออกให้กรรมการฯ
สร้าง  ยุทธยามแกว่นแกล้ว กลางมหา สมุทแฮ
เรือ  พระร่วงรณพาห์ เพื่อไว้
รบ สู้ศัตรูมา หมายเบียฑ เบียฬแฮ
ถวาย พระจอมมกุฎไซร้ อุทิสด้วยกตัญญู

เมื่อสมาคมได้เริ่มรับบริจาคเงินมาได้ครบรอบ ๑ ปี ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๕๘ ได้จัดสร้างเข็มราชนาวีสมาคม ขึ้นเพื่อสมนาคุณแก่สมาชิกผู้บริจาคทรัพย์ใช้ติดเสื้อหรือสไบ มีชั้นเดียวและได้ประกาศในพระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม

พระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า กรรมการราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามได้สร้างเข็มขึ้นอย่างหนึ่ง มีรูปแลลักษณ คือ เปนรูปช้างหมอบงวงชูหม้อน้ำ ขอบเปนลายกนกมีอักษรจารึกทางขอบขวาว่า “ราชนาวีสมาคม” ทางขอบซ้ายว่า “แห่งกรุงสยาม” ทำด้วยเงินมีขนาดคือ

ก. วัดตามเส้นดิ่งแต่ยอดเข็มถึงที่สุดขอบล่างได้ ๔๕ มิลิเมเตอร์
ข. วัดตามเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๓๐ มิลิเมเตอร์

กับมีแพรแถบสีแดงชาดทำเปนรูป ๔ เหลี่ยม กว้าง ๒๗ มิลิเมเตอร์ ยาว ๔๕ มิลิเมเตอร์ สำหรับสอดติดกับเข็มสำหรับให้สมาชิกและสมาชิกาของราชนาวีสมาคมใช้ติดเสื้อฤากลัดสไบเป็นเครื่องประดับ

เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าผู้นั้นๆได้เป็นสมาชิกฤาสมาชิกของราชนาวีสมาคม กรรมการราชนาวีสมาคมขอพระราชทานพระบรมเดชานุภาพ เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน เพื่อมิให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของ ราชนาวีสมาคมใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับ เพื่อปลอมว่าตนเป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมแห่งนี้ได้

ทรงพระราชดำริเห็นว่า สมาคมนี้ได้จัดตั้งขึ้นด้วยความปรารถนาจะอุดหนุนราชการทหาเรือซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของรัฐบาลสยาม แลได้ทรงรับไว้ใน พระบรม ราชูปถัมป์แล้ว จึงเป็นการสมควรที่จะทอดพระราชอาณาปกครองเข็มนี้ให้มีเกียรติคุณโดยพิเศษ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติเข็มราชนาวีสมาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ แลให้ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นต้นไป

มาตรา ๒ เข็มของราชนาวีสมาคม ซึ่งมีรูปแลลักษณดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ ให้ใช้ประดับสำหรับเป็นเครื่องหมายแห่งสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมนี้โดยเฉพาะ แลเข็มนี้มีชั้นเดียวกันทั่วไป

มาตรา ๓ ผู้ที่เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมจะใช้เข็มนี้กลัดเสื้อ ฤากลัดสไบเป็นเครื่องประดับได้ทุกเมื่อ ถึงแม้เวลาแต่งเครื่องแต่งกายตามยศทหารฤายศพลเรือน ก็ให้ใช้ประดับเข็มนี้ด้วยได้

มาตรา ๔ ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้เป็นสมาชิดฤาสมาชิกา ของราชนาวีสมาคมใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับเป็นอันขาด

มาตรา ๕ ผู้ที่เป็นสมาชิกฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมนี้แล้วภายหลังได้ขาดจากสมาชิกฤาสมาชิกาแล้วตามข้อบังคับของสมาคมนั้นแล้ว ในระหว่างเวลานั้นจะใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับไม่ได้ ต่อเมื่อผู้นั้นได้กลับเข้าเป็นสมาชิก ฤาสมาชิกาของราชนาวีสมาคมตามข้อบังคับของสมาคมนั้นแล้ว จึงให้ใช้เข็มนี้เป็นเครื่องประดับได้ต่อไป

มาตรา ๖ ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใด สร้างเข็มนี้ขึ้นด้วยความประสงค์อย่างใดๆ โดยมิได้รับอนุญาตจากกรรมการาชนาวีสมาคมเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา ๗ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำผิดต่อพระราชบัญญัตินี้ ให้ลงโทษผู้นั้นฐานสร้าง ฤาประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปลอม

มาตรา ๘ ให้เสนาบดีมุรธาธรเป็นเจ้าน่าที่รักษาพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัตินี้ตราไว้แต่ ณ วันที่ ๑ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นวันที่ ๑๘๔๗ ในรัชกาลปัตยุบันนี้

 

เรือพระร่วง

กิจการของสมาคม ได้แพร่หลายไปทุกมณฑลทั่วประเทศ ประชาชนทั่วพระราชอาณาจักรต่างร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง เพื่อใช้ป้องกันพระราชอาณาจักรยอดเงินบริจาคถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๔๕๘ อันเป็นเวลาเพียง ๑ ปี ๑ เดือนเป็นเงินถึง ๑,๗๙๓,๙๙๔.๘๕ บาท

ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๔๖๓ ได้เงินรวม ๒,๕๙๑,๒๔๖.๖๕บาท กับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอีก เป็นเงินรวมทั้งสิ้นถึง ๓,๕๑๓,๙๐๔.๐๑ บาท แล้วคณะกรรมการจึงเห็นพร้อมกันทูลเชิญ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็น

ข้าหลวงพิเศษเดินทางไปคัดเลือกเรือรบได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด นามว่า“เรเดียนท์” สร้างโดย บริษัท ธอร์นิครอฟท์ ประเทศอังกฤษ ขนาดระวางขับน้ำ ๑,๐๔๖ ตัน ยาว ๘๓.๕๗ เมตร กว้าง ๘.๓๔ เมตร กินน้ำลึก ๔ เมตร อาวุธปืนใหญ่ ขนาด ๑๐๒ มม. ๓ กระบอก ๗๖ มม. ๑ กระบอก ต่อมา ติดปืน ๔๐ มม. ๒ กระบอก ๒๐ มม.
๒ กระบอก ตอร์ปิโดขนาด ๒๑ นิ้ว จำนวน ๔ ท่อ มีรางปล่อยระเบิดน้ำลึกและมีแท่นยิงระเบิดน้ำลึก ๒ แท่น ใช้เครื่องจักรไอน้ำชนิด บี ซี เกียร์ เทอร์ไบน์ ๒ เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง ๒๙,๐๐๐ แรงม้า ความเร็วสูงสุด ๓๕ น๊อต ความเร็วมัธยัสถ์ ๑๔ น๊อต มีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ ๑,๘๙๖ ไมล์ ทหารประจำเรือ ๑๓๕

นายเรือลำนี้สร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๙ ครั้นสงครามยุติลงในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ แล้ว อังกฤษยินดีขายให้ในราคา ๒๐๐,๐๐๐ ปอนด์ หรือประมาณ ๒,๑๕๐,๐๐๐ บาท เงินที่เหลือจากการซื้อเรือนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่กองทัพเรือสำหรับใช้สอยเมื่อรับมอบเรือพระร่วงแล้ว กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้เป็นผู้บังคับการเรือ เดินเรือ จากประเทศอังกฤษมาถึงปากน้ำ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๖๓ และท่าราชวรดิษฐ์ วันที่ ๘ ตุลาคม ตลอดทางที่เรือหลวงพระร่วงแล่นผ่าน ประชาชนที่คอยรับอยู่ตามริมน้ำก็เกิดความปรีดาโมทย์กันทั่วหน้า กลั้นความรู้สึกไม่อยู่ พากันเปล่งเสียง ชโย ชโย ไม่รู้ กี่ลา ทั้งเสียงแตร เสียงพลุดังก้องกัมปนาทสนั่นไปทั่วท้องน้ำเจ้าพระยา ด้วยความปลื้มปีติ บรรดาเรือกลไฟใหญ่น้อย ประดับด้วยธงทิว อันงดงามน่าตื่นตา พากันแล่นออกไปรับ เรือพระร่วง เป็นทิวแถว ความเบิกบานเกิดขึ้นทั่วทุกคุ้งน้ำ ลบภาพที่ครั้งหนึ่งชาวไทย ต้องเจ็บช้ำที่ถูกย่ำยีในปี ร.ศ. ๑๑๒ จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา ๓ วัน ครั้น วันที่ ๙ ตุลาคม สภานายกราชนาวีมาคม ได้น้อมเกล้า ถวาย เรือพระร่วง ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิมแล้ว เสด็จพระราชดำเนิน โดยเรือพระร่วงจาก ท่าราชวรดิษฐ์ แล่นไปกลับลำที่ท่าวาสุกรีแล่นลงไปถึงบางคอแหลม ประชาชนที่อาศัยอยู่ทั้งสองฝั่งน้ำได้ส่งเสียงชโย ทั้งเสียงแตร เสียงพลุ ต้อนรับ กึกก้องกัมปนาทไปตลอดทั้งสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา ปีติ ใดจะเท่าเทียม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสรรเสริญ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (พระยศขณะนั้น) ที่ได้ทรงเป็นผู้บัญชาการนำเรือพระร่วงมาสู่พระมหานครโดยสวัสดิภาพ เป็นที่ปลาบปลื้มของเหล่าทหารเรือทุกนาย พระองค์ได้รับขนานพระนามว่า พระบิดาของทัพเรือไทย หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า “เสด็จเตี่ย” นับเป็น อนุสรณ์ แห่งความสามัคคีร่วมมือร่วมใจ เสียสละเพื่อส่วนรวม ของ ชาวไทยทุกหมู่เหล่า ที่ได้ร่วมกันจัดหา เรือพระร่วง ลำนี้ขึ้นมา น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นกำลังป้องกันแผ่นดินอันเป็นที่รักที่อยู่อาศัย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการสนอง พระมหากรุณาธิคุณ ของ พระผู้ทรงธรรม์ ที่น่าสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง การแสดงความสามัคคีของมหาชนชาวสยามเช่นนี้ เป็นที่ประจักษ์อยู่หลายครั้งในอดีต เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การร่วมบริจาคเงินเพื่อสร้าง พระบรมรูปทรงม้าและเงินที่เหลือได้ใช้นำไปสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การสร้าง สพานพระพุทธยอดฟ้า ในคราวฉลองพระนคร ครบรอบ ๑๕๐ ปี การสร้าง โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราช ในคราว สถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ และล่าสุด การบริจาคเงิน และ สิ่งของ โดยเสด็จพระราชกุศลช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ซูนามิ เป็นต้น สิ่งนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความเสียสละของชาวไทยที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ชาติไทยจึงได้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ สุดท้ายนี้ขออัญเชิญ พระราชนิพนธ์ บทชวนรักชาติ พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเสนอแด่ท่านผู้อ่าน

 



ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา  ในหมู่ประชาชาวไทย
แม้ใครตั้งจิตคิดรักตัว  จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน
ควรจะร้อนอกร้อนใจ เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งไรก็ไร้ผล
แม้ชาติย่อยยับอับจน  บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร
ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป  ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ  จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย  ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
เพราะฉะนั้นชวนกันสวามิภักดิ์ จงรักร่วมชาติศาสนา
ยอมตายไม่เสียดายชีวา  เพื่อรักษาอิสระคณะไทย
สมานสามัคคีให้ดีอยู่  จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้
ควรคิดจำนงจงใจ เป็นไทยจนสิ้นดินฟ้า

เอกสารอ้างอิง
– สารานุกรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๑ และ ๒, อนุสรณ์ วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี ๑ มกราคม ๒๕๒๔, กรุงเทพฯ ๒๕๒๔
– ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม, สมุทสาร, หนังสือจดหมายเหตุแถลงการณ์ของราชนาวีสมาคมแห่ง กรุงสยาม แล รวมเรื่องอันเนื่องด้วยการทหารเรือทั่วไป
– มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ดุสิตสมิต เล่ม ๙ ฉบับที่ ๙๓,๙ ตุลาคม ๒๔๖๓, พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคต, ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ กรุงเทพฯ ๒๕๓๖
– ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ สำหรับงานต้อนรับเรือพระร่วง, กรุงเทพฯ, ๑๖ ตุลาคม ๒๔๖๓
– จมื่นอมรดรุณารักษ์ ( แจ่ม สุนทรเวช ) , เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร
ตอน ๑ , องค์การค้าของคุรุสภา

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

พ.ศ. ๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

พ.ศ. ๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

The War Medal of B.E. 2461

ใช้อักษรย่อว่า ร.ส. จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความกล้าหาญ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง

พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญนี้ขึ้นสำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ไปพระราชสงครามในทวีปยุโรป (สงครามโลกครั้งที่ ๑) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

ผู้ออกแบบ : หม่อมเจ้าอิทธิเทพสวรรค์ กฤดากร
ผู้ปั้นแบบ : ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป เป็นเหรียญกลมเงิน

ด้านหน้า มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพักตร์เสี้ยวและมีอักษรที่ริมขอบว่า “รามาธิปติสยามินโท วชิราวุธวิสสุโต” แปลว่า สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าจอมสยาม มีพระบรมนามาภิไธยปรากฎว่า “วชิราวุธ”

ด้านหลัง มีรูปวชิราวุธ มีรัศมีพานรองสองชั้น มีฉัตรสองข้าง และมีอักษรที่ริมขอบว่า “งานพระราชสงครามในทวีปยุโรป พระพุทธศักราช ๒๔๖๑” ห้อยกับแพรแถบสีบานเย็น มีริ้วสีดำสองข้าง กว้าง ๓.๕ เซนติเมตร ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๑ เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป

พ.ศ. ๒๔๖๔ เหรียญชัย

พ.ศ. ๒๔๖๔ เหรียญชัย

The Chai Medal

เดิมเรียกว่า เหรียญนารายณ์บันฦๅชัย อักษรย่อว่า ร.ช. จัดเป็นประเภทเหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญชัยขึ้นเมื่อ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๖๔ สำหรับพระราชทานเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ได้ปฏิบัติราชการในคราวงานพระราชสงคราม ณ ทวีปยุโรป (สงครามโลกครั้งที่ ๑) พ.ศ. ๒๔๖๑

ทั้งนี้เนื่องจากในที่ประชุมสัมพันธมิตรได้ปรึกษาตกลงเห็นพ้องต้องกันว่าให้มีการสร้างเหรียญที่ระลึกขึ้น โดยใช้สีแพรแถบห้อยเหรียญเหมือนกันทุกประเทศ ส่วนตัวเหรียญแล้วแต่ประเทศใดๆ จะเลือกทำมีรูปสัณฐานคล้ายๆ กันได้ตามพอใจ

เหรียญชัยนี้ มีชนิดเดียว เป็นเหรียญทองสัมฤทธิ์รูปกลม

ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปนารายณ์บันฦๅชัย

ด้านหลัง มีอักษรว่า “มหาสงครามเพื่ออารยธรรม” มีห่วงสำหรับร้อยแพรแถบสีรุ้ง กว้าง ๓.๗ เซนติเมตร ซึ่งสีแพรแถบนี้เป็นสีตามข้อตกลงของที่ประชุมของฝ่ายสัมพันธมิตร
ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

ผู้ออกแบบ : หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร
ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

อนึ่ง เหรียญราชอิสริยาภรณ์ไทยที่เป็นเหรียญที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้น มี ๒ เหรียญ คือ

๑. เหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป ทรงสร้างโดยพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความกล้าหาญในราชการสงครามโลกครั้งที่ ๑ ณ ทวีปยุโรป

๒. เหรียญนารายณ์บันฦๅชัย เป็นเหรียญสำหรับพระราชทานให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ไปร่มรบในสงครามโลก ตามข้อตกลงในกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรที่ได้รับชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ ๑ ครั้งนั้น โดยกำหนดให้ใช้แพรแถบ สีรุ้งเป็นสากล

Categories
King Rama VI พ.ศ.๒๔๖๘ เหรียญศารทูลมาลา

พ.ศ.๒๔๖๘ เหรียญศารทูลมาลา

พ.ศ.๒๔๖๘ เหรียญศารทูลมาลา

The Saratul Mala Medal

ใช้อักษรย่อ ร.ศ.ท.

เป็นเหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการ มีชนิดเดียว เป็นเหรียญเงิน

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
พ.ศ. ๒๔๖๘ ในการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรรจบรอบปีที่ ๑๕ ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งกองเสือป่าอาสาสมัครได้ดำเนินตามกระแสพระบรมราโชบายมั่นคงเป็นปึกแผ่นแผ่ไปทั่วพระราชอาณาจักร จนประสบผลแล้วซึ่งความยั่งยืน

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะสถาปนาเหรียญศารทูลมาลาสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่ผู้ที่ปฏิบัติราชการเสือป่า ด้วยความอุตสาหะ ที่รับราชการมาครบกำหนด ๑๕ ปีบริบูรณ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติเหรียญศารทูลมาลา พระพุทธศักราช ๒๔๖๘” ขึ้น ประกาศไว้ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอำนวยการการฝึกและทอดพระเนตรการประลองยุทธของกองเสือป่าที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปณาขึ้น โดยประกาศเป็นพระราชปรารภ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ ว่าทรงมุ่งหมายที่จะเปิดโอกาสให้พลเรือน ทั้งที่เป็นข้าราชการและพ่อค้าคหบดี

ที่มีความปรารถนาจะได้รับการฝึกหัดอย่างทหาร ได้ฝึกหัดตามความประสงค์อันก่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง คือ ทำให้บุคคลที่ได้รับการฝึกเช่นนั้นเป็นราษฎรที่ดี มีกำลังกายและความคิดแก่กล้าในทางที่เป็นประโยชน์ มีความรักชาติบ้านเมือง มีความสามัคคี และให้เป็นนักรบได้เมื่อถึงคราวที่ประเทศชาติต้องการ
เหรียญศารทูลมาลาเป็นเหรียญเงิน มีสัณฐานเป็นรูปจักรหมายยศเสือป่า

ด้านหน้า เป็นรูปหน้าเสือทรงมงกุฎอยู่กลางในวงจักร

ด้านหลัง ตรงกลางมีอักษรพระนามาภิไธย ร.ร.๖ มีอักษรจารึกวงรอบข้างบนว่า
“บำเหน็จแห่งความยั่งยืน” และจารึกอักษรที่วงรอบข้างล่างว่า “ในราชการเสือป่า ๑๕ ปี” ที่ร้อยแพรแถบ สีดำ เหลือง สลับกันเป็นลายรุ้ง เป็นรูปวชิระสองคมมีเข็มกลัดเงิน เบื้องบนแพรแถบจารึกอักษรว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์” ใช้สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย