Categories
พ.ศ.๒๕๖๒ เหรียญบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐

พ.ศ.๒๕๖๒ เหรียญบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

 

โดยที่เป็นการสมควรให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยเหรียญเฉลิมพระเกียรติและเหรียญที่ระลึก พ.ศ. ๒๕๔๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พ.ศ. ๒๕๖๒”

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ลักษณะเป็นเหรียญกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๒ มิลลิเมตร ทำด้วยเงิน ด้านหน้ากลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวา ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า

“พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ด้านหลังกลางเหรียญมีรูปตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เบื้องล่างมีข้อความว่า “๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒” ริมขอบเหรียญ

โดยรอบประดับด้วยลายไทยประดิษฐ์ ด้านหน้าขอบนอกเหรียญเบื้องบน มีเลข ๑๐ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ด้านหลังขอบนอกเหรียญมีห่วงส าหรับบุรุษใช้ห้อยกับแพรแถบกว้าง ๓๒ มิลลิเมตร มีริ้วสีขาวนวลกับริ้วสีเหลืองสลับกัน ริ้วสีขาวนวลเป็นสีแสดงถึงวันพระบรมราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามจันทรคติ ริ้วสีเหลืองเป็นสี

มาตรา ๔ บุคคลมีสิทธิประดับเหรียญนี้ได้

มาตรา ๕ การประดับเหรียญนี้ให้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หากไม่ประดับอย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จะประดับโดยใช้ห้อยคอหรือโดยใช้เป็นเข็มกลัดเสื้อโดยไม่มีแพรแถบก็ได้

มาตรา ๖ ให้กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง มีหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างและการจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒

มาตรา๗ ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี)

 

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ ตลอดจนน้อมนำจิตใจของปวงชนชาวไทยให้แสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี อีกทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกร รวมทั้งเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร สมควรให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

 

ข้อมูลจำเพาะ

ชนิดโลหะ เงิน

จำนวนการผลิต 5 แสนเหรียญ 

Categories
พ.ศ. ๒๕๖๒ เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

พ.ศ. ๒๕๖๒ เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

เหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562

ข้อมูลจำเพาะ

ชนิดโลหะ เงิน

ความบริสุทธิ์ 92.5%

ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 23 กรัม

(ผลิตไม่เกิน 300,000 เหรียญ)

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 7 ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่๗

ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่ ๗

ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่๗

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่๕ (เหรียญย่อ)

ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่ ๕ (เหรียญย่อ)

ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่๕ (เหรียญย่อ)

เหรียญราชอิสริยาภรณ์ชนิดย่อส่วน ใช้ประดับในการแต่งเครื่องแบบเพื่อร่วมงานราตรีสโมสร ซึ่งเป็นประเพณีนิยมมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ จวบจนรัชกาลปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากงานราตรีสโมสรในสมัยก่อนมักจะมีการลีลาศ ซึ่งการประดับเหรียญและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปกติอาจเกิดความไม่สะดวก จึงนิยมประดับเหรียญชนิดย่อส่วนแทน

คำบรรยายภาพ: เหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน จากซ้ายไปขวา เหรียญรัตนาภรณ์ วปร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว), เหรียญรัชฎาภิเษกมาลา (เหรียญเปลือย), เหรียญประพาสยุโรปครั้งที่๑, เหรียญทวีธาภิเศก, เหรียญรัชมงคล, เหรียญรัชมังคลาภิเศก, และเหรียญบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
คำบรรยายภาพ: เหรียญรัชฎาภิเศกมาลาย่อส่วน 
คำบรรยายภาพ: เหรียญรัชมังคลาภิเศกย่อส่วน

สำหรับระเบียบการประดับเหรียญราชอิสริยาภรณ์ชนิดย่อส่วน ขอทำการคัดย่อ และเรียบเรียงจาก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ Website Thai Royal Navy ดังนี้

วิธีประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เครื่องแบบสโมสร 
ชึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบเต็มยศ สำหรับเวลาค่ำที่เรียกว่า Full Dress Tuxedo หรือ White Tie ให้ปฏิบัติดังนี้

  • ๑. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดประดับหน้าอกเสื้อ สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน ขนาด ๑ ใน ๓ ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน ที่ปกเสื้อเบื้องซ้ายของเสื้อชั้นนอก ใต้เครื่องหมายสังกัดพองาม หากไม่มีเครื่องหมายสังกัด ให้ประดับที่ปกเสื้อพองาม
  • ๒. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอมีดารา สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน โดยไม่ย่อส่วนหากได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ หรือชนิดคล้องคอมีดาราหลายดวง ให้ประดับเฉพาะเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่มีลำดับเกียรติสูงสุดเท่านั้น โดยคล้องดวงตราให้แพรแถบ อยู่ใต้ผ้าผูกคอ ส่วนดาราให้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้ายด้านนอก
  • ๓. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดสายสะพาย สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน โดยให้สวมสายสะพายทับเสื้อตัวใน โดยไม่สวมสายสร้อย
  • ๔. การแต่งกายเครื่องแบบสโมสรที่มีหมายกำหนดการระบุ ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่ได้รับพระราชทาน โดยไม่ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน ทหารหญิงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญในโอกาสที่แต่งเครื่องแบบทหาร ให้ใช้ห้อยทับแพรแถบ และประดับเช่นเดียวกับ ทหารชาย ในโอกาสที่นัดหมาย ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญ ให้ประดับเหรียญราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ เท่านั้น เช่น เหรียญชัยสมรภูมิ เหรียญพิทักษ์เสรีชน เหรียญจักรมาลา เหรียญที่ระลึกต่าง ๆ ห้ามนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกประเภทมาประดับ
Categories
พ.ศ.๒๔๐๘ เครื่องราชฯ คารานพรัตน์ และ ดวงตราพระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ ณ ฟองแตนโบล เหรียญในรัชกาลที่ 4

พ.ศ.๒๔๐๘ เครื่องราชฯ ดารานพรัตน์ และ ดวงตราพระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ ณ ฟองแตนโบล

เรืออากาศเอก นิรันดร วิศิษฎ์สิน


คำนำ


ในพิพิธภัณฑสถาน พระราชวัง ฟองแตนโบล มี เครื่องราชบรรณการ ที่รัชกาลที่ ๔ส่งไปเจริญพระราชไมตรี แด่ สมเด็จพระจักรพรรดิที่นโปเลียน ที่ ๓ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๐๔ถึง ๒๔๐๘ จัดแสดงอยู่ ในกลุ่มนี้ มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่น่าสนใจมาก เป็นองค์เดียวในโลกอยู่สองสิ่ง องค์หนึ่ง เป็นดวงดารา ตรงกลางเหมือนดารานพรัตน์ สมัยรัชกาลที่ ๔ ต่างกันที่ ช่องระหว่างแฉกทั้งแปดจำหลักเป็นกลีบซ้อนขึ้นมาเป็นรูปดวงดอกไม้ ฝังเพชรจำนวนมากทำให้มีขนาดเขื่องกว่า อีกองค์หนึ่งเป็นดวงตราห้อยสายสะพาย ด้านหนึ่งเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ ครึ่งพระองค์ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปช้างทรงเครื่อง ไม่ปรากฏมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่เหมือนกันนี้อยู่ในกรุงสยามเลย นับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากดังกล่าวแล้วข้างต้น

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทั้งสององค์นี้ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยในสมัยต่อมา อีกประการหนึ่งในระยะเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงชาวไทยไม่กี่ท่านที่ได้เคยเห็นด้วยอยู่ห่างไกลบ้านเมืองอันเป็นถิ่นกำเนิด ถึงแม้จะได้ไปฝรั่งเศส ก็อยู่เพียงกรุงปารีสหาได้ไปถึงฟองแตนโบลไม่อย่างไรก็ตาม

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวถึงในตำนานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สยาม และได้ทรงฉายภาพไว้ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ภาพนั้นยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อนเลย และ ปัจจุบันนี้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากที่จะได้บันทึกภาพที่สำคัญนี้มานำเสนอได้

 ดารานพรัตน์ ณ ฟองแตงโบล กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงฉายเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๔๗๓ ( ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ )

ดวงตราพระบรมรูปรัชกาลที่ 4  ณ ฟองแตงโบล (ด้านหน้า)
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงฉายเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๔๗๓
( ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ )

ดวงตราพระบรมรูปรัชกาลที่ 4  ณ ฟองแตงโบล (ด้านหลัง)
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงฉายเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๔๗๓
( ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ )

ด้วยติดขัดทางด้านกฎระเบียบที่เข้มงวด ต้องใช้ความพยายามทั้งเวลาและหาช่องทางอยู่เป็นเวลานานทั้งต้องเดินทางเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้งสูญเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมาก กว่าจะได้มา ถึงอย่างไรก็ตาม ก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้นำภาพถ่ายสำคัญนี้พร้อมด้วยเรื่องราวประวัติความเป็นมา เพื่อนำเสนอเป็นบรรณาการแด่ท่านผู้อ่าน ดังต่อไปนี้

ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ถึง ๒๔๐๘ สถานการณ์ในสยามประเทศอยู่ในสภาวะล่อแหลม ด้วย มหาอำนาจใน ยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ได้ขยายอิทธิพล เข้าครอบครอง อินเดีย พม่า มลายู อันนัมเวียตนาม อีก ทั้งจีนซึ่งเป็นมหาประเทศ ที่มีอิทธิพลสูงมาแต่โบราณ ยังต้องยอมสยบ มหาอำนาจยุโรป นี้ แต่โดยดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินวิเทโศบาย อย่างชาญฉลาด โดยส่ง พระยามนตรีสุริยวงศ์ ( ชุ่ม บุนนาค ) และ พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี ( แพ บุนนาค)

ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา ไปเจริญพระราชไมตรี กับ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งจักรวรรดิบริตตาเนีย อังกฤษในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ และสมเด็จพระจักรพรรดิ นโปเลียน ที่ ๓ แห่งกรุงฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ ตามลำดับ เพื่อแสดงความเป็นมิตรไมตรี สร้างเสริมความเข้าใจอันดี กับ ผู้นำและพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ

พร้อมทั้งแสดงความเต็มใจของชาวสยามที่จะติดต่อค้าขาย และ ผูกมิตรกับชนชาติเหล่านั้นด้วย นอกจากนี้ทางธรรมทรงผูกใจชาวยุโรปโดยทรงให้คำมั่นกับ สมเด็จพระสันตะปาปา ปิอุสที่ ๙ พระประมุขแห่งสกลคริสตจักร ณ นครรัฐวาติกัน ด้วยว่าชาวคริสเตียน ผู้นับถือศาสนาคาธอลิค จะได้รับความคุ้มครองเยี่ยงเดียวกับชาวพุทธในกรุงสยาม

ทั้งยังให้เสรีภาพ ทางศาสนากับชาวต่างชาติด้วย นับเป็นการดำเนินวิเทโศบายอย่างชาญฉลาดเข้าถึงจิตใจชาวตะวันตกโดยใช้มิตรภาพ และน้ำใจอันใสสะอาดของชนชาวไทย มาช่วยให้ประเทศชาติพ้นภัย รอดจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก รักษาเสรีภาพไว้ได้ เป็นเพียงชาติเดียวในภูมิภาคนี้

พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี และ คณะฑูต ถวายพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการ แด่ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ณ พระราชวังฟองแตนโบล

ในคราวที่ พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี ( ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา ) จางวางพระคลังสินค้า รับราชการสนองพระเดชพระคุณ เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์น คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรี แด่สมเด็จพระจักรพรรดิ นโปเลียนที่ ๓ ณ พระราชวังฟองแตนโบล วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๐๔ นั้น

นอกจากประสบความสำเร็จเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่แล้ว สมเด็จพระจักรพรรดิ นโปเลียน ที่ ๓ ยังได้ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ลิจอง ดอนเนอร์ ( LEGION D’HONNEUR ) ชั้น กรองครัว ( GRAND CROIX เป็นภาษาอังกฤษ “แกรนด์ครอส” GRAND CROSS) อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศสูงสุดของฝรั่งเศส ทรงยินดีมาถวาย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๐๖ ( ลางฉบับว่า ๖ พฤษภาคม ๒๔๐๖ ในที่นี้ใช้วันที่ ตามที่ปรากฏใน พระราชสาส์นฉบับที่ ๑๘ )

นับเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศอย่างสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ เพียงพระองค์เดียว ของเอเชียในขณะนั้นที่ได้รับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศสูงสุดตระกูลนี้ โปรดฯให้ยิงสลุต ๒๑ นัด เชิญมาบนพานทองสองชั้น จัดขบวนแห่แหน อย่างสมพระเกียรติยศ ทรงประดับ ดวงตราสายสพาย และ ดาราเป็นเกียรติ แก่คณะราชทูตฝรั่งเศส พร้อมเลี้ยงฉลอง มีประโคม ดนตรี มโหรี เป็นเกียรติ อีกด้วย

อนึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ลิจอง ดอนเนอร์ นี้ได้เปลี่ยนรูปแบบไปหลายครั้ง มาตลอดจนถึงรุ่นปัจจุบัน พระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ จำลองที่สร้างขึ้นภายหลังจึงมีรูปตราลิจอง ดอนเนอร์อันคลาดเคลื่อนอยู่ รุ่นที่ทรงได้รับมานี้ เป็นรุ่นที่อยู่ในยุค จักรวรรดิที่สอง (SECOND EMPIRE) มีลักษณะดังนี้

.

ดวงตรา ลิจอง, ตอนเนอร์ รุ่นที่ทรงยินดีมายังรัชกาลที่ ๔

ดวงตราด้านหน้า ทำด้วยทองคำ ตรงกลางเป็นพระรูปจักรพรรดินโปเลียน หันพระพักตร์ ทางด้านขวา ล้อมด้วยวงกลม ลงยาสีขาบ คือ สีน้ำเงินเข้มมีตัวอักษรลาตินสีทอง NAPOLEON EMP DES FRANCAIS คือ นโปเลียน จักรพรรดิ แห่ง ฝรั่งเศส มีดาว ๕ แฉก เรียงกันด้านล่าง ๓ ดวง ล้อมรอบวงด้วยรัศมีลงยาสีขาว รูปห้าเหลี่ยม มุมบนย่อลง ๕ แฉก ปลายแฉกมีปุ่มกลม แฉกละ ๒ ปุ่ม

ระหว่างแฉกทั้ง ๕ มีใบไม้ทองลงยาสีเขียว ด้านบน มีหู ๒ แฉกลงยาสีแดง เชื่อมกับ มงกุฏ ที่ฐานลงยาสีเขียวน้ำเงินแดง สลับกัน ที่กลีบมงกุฎ ๕ กลีบ ทำเป็นรูปใบไม้มีนกอินทรีกางปีกยืนเกาะมัดหวายกับสายฟ้า รอยฉลุระหว่างกลีบมงกุฎลงยาสีแดง บนยอดมงกุฎมีปุ่มกลม บนปุ่มมีกากบาท ( ชั้นกรองครัวซ์ ไม่มีกากบาท ) ตัวปุ่มมีรูแขวนห่วงกลมสำหรับห้อย สายสพายสีแดง สพายบ่าขวาเฉียงลงเอวซ้าย


ดวงตราด้านหลัง ตรงกลาง เป็นรูปนกอินทรีกางปีกยืนบนมัดหวาย และ สายฟ้า ล้อมรอบ ด้วย วงกลมยาสีขาบ มีตัวอักษรลาตินสีทอง HONNEUR ET PATRIE คือ เกียรติยศ แด่ผู้รักชาติ มีดาว ๕ แฉก เรียงกันด้านล่าง ๓ ดวง มีแฉกล้อมรอบ และ มงกุฎ เหมือนกันกับด้านหน้า


ดารา ทำด้วยเงิน (ดาราของจักรพรรดินโปเลียน ที่๓ ทำด้วยทองคำ) ตรงกลางเป็นรูป นกอินทรี กางปีก จับมัดหวาย และ สายฟ้า มีวงกลมล้อมรอบ มีตัวอักษรลาติน HONNEUR ET PATRIE . ด้านล่างเป็นช่อดอกไม้ ล้อมรอบด้วย แฉกรูป ๕ เหลี่ยมมุมบนย่อลง ปลายแฉกเป็นปุ่มกลมแฉกละ ๒ ปุ่ม ทำเป็นเพชรสร่งทั้ง ๕ แฉก ระหว่างแฉกรัศมีปลายมน แฉกละ ๕ เส้น ด้านหลังมีเข็มกลัดสำหรับติดหน้าอกเสื้อด้านซ้าย

เพื่อเป็นการตอบแทน จึงโปรด ฯ ให้ช่างทองหลวง ทำดารา และดวงตราขึ้น ดังปรากฏในพระราชสาส์นที่ส่งไปถวาย จักรพรรดินโปเลียน ที่ ๓ ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๐๗ ความตอนหนึ่งว่า

“ บัดนี้กรุงสยามมีความประสงค์จะใคร่ทำความที่กรุงสยามคิดถึง พระเดชพระคุณ กรุงฝรั่งเศสนั้นให้แจ้งชัด จึงได้คิดให้ช่างทองชาวสยามทำรูปดวงดาวฤาดอกไม้ ด้วยทองคำประดับเพชรเป็นใจกลาง
มีพลอยสีต่างกำเนิดอยู่ทั้งแปดด้าน แล้วมีเพชรเป็นอันมากประดับเป็นบริวารแวดล้อมดังรัศมี อีกกับ ดวงดาวทองคำลงยาราชาวดี มีห่วงห้อย เป็นรูปสำคัญนามของกรุสยาม ฯ ”


ดาราและดวงตรานี้ยังเก็บรักษา และ จัดแสดงไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานพระราชวังฟองแตนโบล อยู่ถึงปัจจุบันนี้

ในคราวที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จฯ พิพิธภัณฑ์ พระราชวังฟองแตนโบล เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็น ได้ทรงพบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยที่ทำขึ้นพิเศษไม่เหมือนที่มีอยู่ ดวงหนึ่ง เป็นดารานพรัตน์ สมัยรัชกาลที่ ๔ แต่มีขนาดเขื่องกว่า อีกดวงหนึ่ง เป็นดวงตราแขวนสายสพาย

ด้านหนึ่ง จำหลักเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครึ่งพระองค์ ครั้งนั้นทรงได้ถ่ายภาพเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำคัญนี้มาด้วย ปัจจุบันรักษาอยู่ที่หอจดหมายแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ภาพนี้ยังไม่ได้ลงพิมพ์เผยแพร่ในเอกสารสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน ภาพถ่ายนี้ได้นำเสนอไว้แล้วในตอนต้น มีลักษณะดังนี้

ดารานพรัตน์ รัชกาลที่ ๔

ดารานพรัตน์ ณ ฟองแตนโบล

ดวงตราพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 และดารานพรัตน์  ณ ฟองแตงโบล

ดวงตรา ด้านหน้า พระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ ครึ่งพระองค์ ทรงหมวกสก๊อต หันพระพักตร์ด้านซ้าย ล้อมรอบด้วยช่อดอกไม้ อยู่ในวงกลม ล้อมรอบด้วย รัศมีรูป ๕ เหลี่ยมมุมบนย่อลง๕ แฉก มีลายกนกลงยาสีน้ำเงินและเขียว แฉกละ๒ ด้าน พื้นลงยาสีแดง ระหว่างแฉกเป็นรูปใบไม้ลงยาสีแดงสลับเขียวทั้ง๕ แฉก ด้านบนเป็นใบไม้ลงยาสีเขียวเชื่อมกับพระมหามงกุฎ มีหูเป็นรูปศรีวัตสะ เหนือพระมหามงกุฎ มีห่วงด้านบนสุด สำหรับห้อยสายสพาย ด้านหลัง เหมือนด้านหน้าแต่ตรงกลางเป็นรูปช้างทรงเครื่อง

ดาราและดวงตรานี้ ทำขึ้นเพียงชุดเดียว ไม่มีพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายประกอบ หรือ มีธรรมเนียมมาแต่โบราณ เป็นของที่ทรงมีพระราชดำริให้ทำขึ้นมาใหม่ นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่ปรากฏ พระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ บนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

เป็นของสำคัญที่หาดูได้ยากยิ่ง ครั้นต่อมาทรงสร้าง ดาราช้างเผือกขึ้น มีรูปช้างเผือก มงกุฎ และ เครื่องสูงลงยาราชาวดีฝังเพชรพลอย ส่งไปถวาย จักรพรรดินโปเลียน ที่ ๓ เป็นสำรับเข้ากับดวงตราพระบรมรูป กับ ช้างทรงเครื่องที่ส่งไปแล้วนั้น ตามความในพระราชสาส์น ฉบับที่ ๑๙ ที่ส่งไป เมื่อ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๐๘

เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ นับได้ว่าเป็นชุดแรก ที่ได้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นกำเนิดของ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยในสมัยต่อมา โดย ดารานพรัตน์ เป็นต้นกำเนิดของเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ และ ดวงตราพระบรมรูป กับช้างทรงเครื่อง เป็นต้นกำเนิดของเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก

ภาพดารานพรัตน์ และ ดวงตราพระบรมรูปกับช้างทรงเครื่องนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อ จาก AGENCE PHOTOGRAPHIQUE REUNION DES MUSEES NATIONAUX กรุงปารีส โดย MADAM HERVELENE POUSSE จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ อนึ่งภาพประกอบนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

บรรณานุกรมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระราชหัตถเลขาด้านการต่างประเทศ , อนุสรณ์
หม่อมเจ้า วงศานุวัตร เทวกุล , กรุงเทพ ฯ , ๒๕ เมษายน ๒๕๓๔ .
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ , เสด็จยุโรปครั้งที่ ๒ , คุรุสภา , ๒๕๐๔
“——————-” ,ตำนานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สยาม , กรุงเทพ ฯ , ๒๔๖๘
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสมมติอมรพันธุ์ , เรื่องตั้งเจ้าพระยา กรุงรัตนโกสินทร์ ,
พิมพ์ครั้งที่สาม , กรุงเทพ ฯ , ๒๕๑๒
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย , กรุงเทพ ฯ , ๑๒ สิงหาคม๒๕๓๕
CHATEAU DE FONTAINEBLEAU , LE MUSEE CHINOIS DE L’IMPERATRICE
EUGENE , PARIS , 1994 .

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 พ.ศ.๒๔๒๔ (ร.ศ.๑๐๐) เหรียญสตพรรษมาลา หรือ เหรียญ ๕ รัชกาล

พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๐) เหรียญสตพรรษมาลา หรือ เหรียญ ๕ รัชกาล

พ.ศ. ๒๔๒๔ (ร.ศ.๑๐๐) เหรียญสตพรรษมาลา หรือ เหรียญ ๕ รัชกาล

จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก (เรียกกันง่ายๆว่าเหรียญแพรแถบ) ใช้อักษรย่อ ส.ม. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ ร.ศ.๑๐๐ (พ.ศ.๒๔๒๔) สำหรับเพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึกในการสมโภชครบร้อยปี ของการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี โดยถือวันฝังหลักพระนครในวันที่ ๒๑ เมษายน พศ ๒๓๒๕ มาครบร้อยปีแรก

เหรียญสตพรรษมาลาที่พบเห็นมีหลายเนื้อโลหะคือ เหรียญทอง เงิน เหรียญทองแดง เหรียญเงินกะไหล่ทอง เหรียญทองแดงกะไหล่เงิน (กะไหล่ หมายถึงวิธีการแบบหนึ่งในการเคลือบสิ่งที่เป็นโลหะ ด้วยเงิน หรือทอง ) พระราชทาน ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ชนิดทองพระราชทานตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า และชั้นเจ้าพระยาขึ้นไป ส่วนชนิดเงินและทองแดงพระราชทานแต่ผู้ที่รองแต่ชั้นนั้นลงมา เหรียญสตพรรษมาลาเป็นเหรียญรูปกลมแบนขนาดเขื่อง เส้นผ่าศูนย์กลาง ๖.๓ ซม ที่ขอบมีรัศมีโดยรอบ ๒๐ แฉก เหรียญนี้ใช้ห้อยกับแพรแถบสีแดงกับขาว กว้าง ๓.๕ ซม ปัจจุบันเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน

เหรียญที่นำมาลงให้ดูนี้ เป็นเนื้อเงินกะไหล่ทอง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ซ้อนกัน

ส่วนด้านหลัง มีข้อความบ่งบอกวัตถุประสงค์การจัดงานพิธี อนึ่ง จากหนังสือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย จัดทำโดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ออกแบบโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

เหรียญสตพรรษมาลา เนื้อเงิน

เหรียญสตพรรษมาลา เนื้อบรอนซ์

มีข้อสังเกตุบางประการเกี่ยวกับเหรียญนี้
๑) ลักษณะชื่อ เบนซอน ใต้พระรูปต้องคมชัด ตามรูป
๒) เหรียญแท้ ที่เป็นเนื้อเงินหายากมากครับ ที่พบ มักจะเป็นทองแดง กะไหล่เงิน หรือเปียกเงินหนา ชนิดแยกแทบไม่ออก ระวังซื้อผิดราคาครับ
๒) เท่าที่สังเกตุดู พบว่า เหรียญนี้ (ชนิดแพรแถบ) มีอย่างน้อย 2 บล็อค คล้ายกันมาก แต่ต่างตรงปลายรัศมีแฉกขอบเหรียญ น้ำหนักก็ต่างกันพอสมควร

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๑) เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มกล้าหาญ

พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๑) เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มกล้าหาญ

พ.ศ.๒๔๒๕ เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มกล้าหาญ

จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก (เรียกกันง่ายๆว่าเหรียญแพรแถบ) ใช้อักษรย่อ ร.ด.ม. (ศ) เป็นเหรียญบำเหน็จความชอบในราชการ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พศ๒๔๒๕ อันเป็นมหามงคลสมัยซึ่งบรรจบครบรอบร้อยปีที่หนึ่ง นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ และทรงเริ่มพระบรมราชจักรีวงศ์สืบรัตนราไชยมไหศวรรย์ยั่งยืนต่อมาจนถึงรัชกาลของพระองค์ท่าน ในครั้งนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยยศ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีนามว่า “เครื่องราชอิยริยยศอันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์” สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้ดำรงรักษาราชประเพณี และรักษาความสามัคคีในราชตระกูลยั่งยืนรุ่งเรืองสืบมา พร้อมกันนั้นทรงมีพระราชดำริว่า ข้าราชการที่ได้รับราชการมาด้วยดี มีความสามารถ ทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ราชการนั้น ควรจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศด้วย จึงทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ให้สร้างเหรียญเครื่องประดับชื่อ “ดุษฎีมาลา” สำหรับพระราชทานทหาร พลเรือนตามความดีความชอบ

ตามพระราชบัญญัติเหรียญดุษฎีมาลา พศ๒๔๒๕ กำหนดให้มีเข็มพระราชทาน ประกอบกับเหรียญรวม ๕ ชนิด สำหรับใช้กลัดติดกับแถบแพร เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงคุณสมบัติพิเศษตามสาขาความชอบแห่งผู้ได้รับพระราชทาน ดังนี้

๑ เข็มราชการในพระองค์,  ๒ เข็มราชการแผ่นดิน, ๓ เข็มศิลปวิทยา, ๔ เข็มความกรุณา, ๕ เข็มกล้าหาญ

จากการค้นคว้าในพระราชบัญญัตติ เครื่องอิศริยศ สำหรับความดีความชอบ เหรียญดุษฎีมาลา พบมาตราที่เกี่ยวข้องกับเข็มกล้าหาญระบุไว้ดังนี้ (ใช้ภาษาตามต้นฉบับเดิม)….

….มาตรา ๑๑ เข็มที่ จาฤก ว่า กล้าหาญนั้น

ไว้สำหรับพระราชทานออฟฟีชเชอร์นายทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งบกและเรือ แลข้าราชการที่เข้ากองทับกับทหารไปรเวทลูกเรือกระลาสีในเรือรบหลวง แลขุนหมื่นกรมการไพร่หลวงไพร่สม ที่เข้ากองทับรับราชการต่อสู้ฆ่าศึกศัตรู ได้กระทำการแขงแรงสำแดงความกล้าเปนการปรากฏต่อสู้ฆ่าศึกศัตรูโดยความภักดี ป้องกันรักษบ้านเมืองเปนที่เกิดของตน จึ่งจะพระราชทานเข็มที่จาฤกว่ากล้าหาญ ให้ตามเหตุการที่กำหนดต่อลงไปดังนี้

ข้อ ๑ ถ้ากองทับบกทับเรือก็ดี ได้กระทำการรบต่อสู้ฆ่าศึกศัตรูโดยความกล้าหาญต่อหน้าแม่ทับนายกองก็ดี ก็ให้แม่ทับนายกองจดชื่อออฟฟีชเชอร์ แลทหารแลความกล้าที่ได้กระทำนั้น มีไบบอกให้นำกราบบังคมทูลพระกรุณาโดยเร็ว ทรงทราบความแล้วจะทรงพระราชดำหริห์เหนสมควร ที่จะพระราชทานเหรียญดุษดีมาลา แลเขมไปให้แม่ทับนายกองผู้บังคับการ พระราชทานผู้มีความชอบประดับตัวในที่ประชุมทหาร แลอ่านคำประกาศที่ผู้มีความชอบได้กระทำสำแดงความกล้าหาญให้ทราบทั่วกัน แลให้แม่ทับนายกองจดชื่อ แลความดีความชอบไว้ในสมุดสำหรับกองทับ แล้วให้คัดสำเนาส่งมายังออฟฟีชหลวง เจ้าพนักงานจะได้คัดลงในสมุดสำหรับเหรียญดุษดีมาลา แล้วส่งสำเนาไปลงในราชกิจจานุเบกษา เสมอทุกคราวพระราชทานไป

ข้อ ๒ ถ้าผู้ที่ได้ทำการสำแดงความที่ได้กล้าหาญมิได้อยู่ในที่ต่อหน้าแม่ทับ ผู้บังคับการดังกล่าวมาแล้ว ผู้ที่สำแดงความกล้า อยากจะได้รับพระราชทานเกียรติยศอันนี้แล้ว ก็ได้แจ้งความตามที่ตนได้กระทำทดลองทุกอย่าง ให้เปนที่เชื่อยินดีแก่กัปตันนายกองนายร้อยที่ตนอยู่ในบังคับ ให้จดหมายแจ้งความไปยังผู้บังคับกองทับตามเหตุการ ซึ่งทหารนายกองของตนได้สำแดงความกล้าหาญ แม่ทับกับนายกองพิจารณาเหนสมควรแล้ว ก็ให้มีใบบอกขอมายังเสนาบดีตามกรมขึ้นนำกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงพระราชดำริห์เหนชอบแล้ว ก็จะพระราชทานให้แล้วให้แม่ทับนายกองประพฤฒการตามบังคับไว้ในข้อ ๑

ข้อ ๓ ถ้าทหารบกก็ดีเรือก็ดี เปนหมู่กันไม่เกินกว่า ๕๐ คน ฤๅกองทับกองใดกองหนึ่งที่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า กอมปนี ตรุบสควด ดรอนแบลกเลียน รยิเมนต์ บริเคด หนึ่งใดก็ดี ได้สำแดงความกล้าหาญด้วยกันทั้งหมู่ทั้งกอง ยากที่จะเลือกผู้ที่กล้าหาญองอาจได้ แล้วก็ให้แม่ทับนายกองที่บังคับหมู่กองนั้น บังคับให้ออฟฟีชเชอร์เลือกกันเอง ตามออฟฟีชเชอร์นายหนึ่ง นอนกอมมิชันออฟฟีชเชอร์เลือกในพวกกันเอง ๒ นาย ไพร่ทหารเลวเลือกในพวกกันเอง ๔ นาย ที่ควรจะได้รับเหรียญประดับความชอบนี้ เมื่อออฟฟีชเชอร์และทหารเลือกได้ผู้ที่ควรจะได้รับเหรียญเครื่องประดับแล้ว ให้จดชื่อมอบให้แก่แม่ทับนายกองๆ มีใบบอกส่งมายังผู้บังคับการใหญ่ฝ่ายทหาร ฤๅตามกรมขึ้นให้กราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระราชดำหริห์เหนสมควรแล้วจะพระราชทานให้

ข้อ ๔ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใด ได้สำแดงความกล้าหาญเปนการที่นอกจากกำหนดไว้ ตามบังคับทั้ง ๓ ข้อ แต่การนั้น เปนเหตุปรากฏที่สมควร ซึ่งจะได้เหรียญเครื่องประดับนี้ ก็ให้อรรคมหาเสนาบดีกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงพระราชดำริห์วินิจฉัยเหนชอบแล้วที่จะพระราชทานให้ตามความชอบความควร แต่การที่เกิดดังนี้ ผู้ที่จะได้รับรางวันนั้นต้องทดลองชี้แจงสำแดงความให้ปรากฏว่า ได้กระทำความกล้าหาญจริงแท้ตามคำขอ

ข้อ ๕ ถ้าผู้ที่ได้รับเหรียญเครื่องประดับนี้ มิใช่ออฟฟีชเชอร์ที่มีตราตั้ง แลข้าราชการซึ่งมีสัญญาบัตรแล้ว เปนแต่นอนกอมมิชันออฟฟีชเชอร์ แลทหารไปรเวทกรมการขุนหมื่นไพร่หลวงไพร่สม ก็จะพระราชทานเบี้ยหวัดให้เปนเบี้ยเลี้ยง ให้ปีละ ๑๒ ตำลึงจนตลอดอายุ ถ้าได้ทำความชอบโดยความกล้าหาญอีก ได้รับพระราชทานเข็มเดิมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔ ที่จะพระราชทานเบี้ยหวัดเปนเบี้ยเลี้ยงเพิ่มให้อีก ๖ ตำลึง ทุกๆคราวความชอบที่ได้รับพระราชทานเข็มเพิ่มเติม

ข้อ ๖ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใด ได้สำแดงความกล้าหาญ ซึ่งควรจะได้รับพระราชทาน เหรียญเครื่องประดับนี้แล้วมุนนายผู้บังคับการบดบังความชอบเสีย หาเสนอให้ไม่นั้น ที่ให้ผู้นั้นทำฎีกาทูลเกล้าฯถวาย จะโปรดเกล้าฯให้มีตระถาการสืบพิจารณาให้ได้ความจริง ทรงพระราชดำริห์วินิจฉัยเหนสมควรแล้ว ก็จะพระราชทานให้ต่อพระหัตถ์
จากการค้นคว้าในพระราชกิจจานุเบกษา พบหลักฐานการพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มกล้าหาญ จำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับเข็มศิลปวิทยา


หมายเหตุ: ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระนคร สำหรับความเอื้อเฟื้อด้านข้อมูลพระราชบัญญัตติ เครื่องอิศริยศ สำหรับความดีความชอบ เหรียญดุษฎีมาลา

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๑ เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มศิลปวิทยา

พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๑) เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มศิลปวิทยา

พ.ศ.๒๔๒๕ (ร.ศ.๑๐๑) เหรียญดุษฎีมาลา หรือเหรียญทรงยินดี และเข็มศิลปวิทยา

จัดเป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก (เรียกกันง่ายๆว่าเหรียญแพรแถบ) ใช้อักษรย่อ ร.ด.ม. (ศ) เป็นเหรียญบำเหน็จความชอบในราชการซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พศ.๒๔๒๕


อันเป็นมหามงคลสมัยซึ่งบรรจบครบรอบร้อยปีที่หนึ่งนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯและทรงเริ่มพระบรมราชจักรีวงศ์สืบรัตนราไชยมไหศวรรย์ยั่งยืนต่อมาจนถึงรัชกาลของพระองค์ท่าน ในครั้งนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยยศ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีนามว่า “เครื่องราชอิยริยยศอันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์”

สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้ดำรงรักษาราชประเพณี และรักษาความสามัคคีในราชตระกูลยั่งยืนรุ่งเรืองสืบมา พร้อมกันนั้นทรงมีพระราชดำริว่าข้าราชการที่ได้รับราชการมาด้วยดีมีความสามารถทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ราชการนั้นควรจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศด้วย


จึงทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ให้สร้างเหรียญเครื่องประดับชื่อ “ดุษฎีมาลา” สำหรับพระราชทานทหาร พลเรือนตามความดีความชอบ

ตามพระราชบัญญัติเหรียญดุษฎีมาลา พศ๒๔๒๕ กำหนดให้มีเข็มพระราชทาน ประกอบกับเหรียญรวม ๕ ชนิด สำหรับใช้กลัดติดกับแถบแพร เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงคุณสมบัติพิเศษตามสาขาความชอบแห่งผู้ได้รับพระราชทาน ดังนี้
๑. เข็มราชการในพระองค์,
๒. เข็มราชการแผ่นดิน
๓. เข็มศิลปวิทยา
๔. เข็มความกรุณา
๕. เข็มกล้าหาญ

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่

เหรียญที่นำมาลงให้ดูนี้ มีเข็มศิลปวิทยากลัดติดมาในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เหรียญนี้พระราชทานมาพร้อมกล่องตราแผ่นดิน ด้านในระบุผู้จัดทำเหรียญไว้ชัดเจนว่า Wyon แห่ง London แต่เหรียญในยุครัชกาลที่ ๖ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า จะผลิตโดย Benson (เบนซอน)

เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่

จากการค้นคว้า ในหนังสือ “เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา” ซึ่งจัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร เนื้อหาภายในจะระบุถึงรายนามผู้ได้รับพระราชทาน และวัน เวลา ที่ได้รับพระราชทานด้วย
นับจำนวนเหรียญชนิดทองคำได้ ๑๙ เหรียญ เงิน และเงินกะไหล่ทองได้ ๒๐๐ กว่าเหรียญ

ข้อมูลจำเพาะ

ลักษณะ : ทรงกลมรี
ด้านหน้า : เป็นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์ทางซ้ายของเหรียญ ใต้พระรูปมีอักษรโรมันตัวจิ๋วว่า J.S. & A.B. WYON SC
ด้านหลัง : เป็นรูปพระสยามเทวาธิราช ทรงพระขรรค์ยืนแท่นพิงโล่ตราแผ่นดิน พระหัตถ์ขวาทรงพวงมาลัยจะสวมที่ตรงจารึกชื่อผู้ได้รับพระราชทาน
ชนิด : ทองคำ กะไหล่ทอง และเงิน
ขนาด : ขนาดกว้าง ๔.๑ ซม สูง ๔.๖ ซม

หมายเหตุ ปัจจุบันยังไม่พ้นสมัยพระราชทาน แต่เหรียญในยุคปัจจุบันมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม และรายละเอียดบางส่วนต่างไปจากเดิม

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 พ.ศ. ๒๔๓๕ (ร.ศ. ๑๑๑) เหรียญโรงเรียนราชกุมาร

พ.ศ. ๒๔๓๕ (ร.ศ. ๑๑๑) เหรียญโรงเรียนราชกุมาร

พ.ศ. ๒๔๓๕ (ร.ศ. ๑๑๑) เหรียญโรงเรียนราชกุมาร

โรงเรียนราชกุมาร ได้ตั้งขึ้นโดยพระบรมราชประสงค์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เป็นศึกษาสถานพิเศษสำหรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ แลหม่อมเจ้าบางพระองค์ จะได้ทรงศึกษาในวิชาต่างๆ มีวิชาหนังสือไทย แลหนังสือภาษาต่างประเทศ แลวิชาเลข วิชาภูมิศาสตร์ เป็นต้น ตามสมควรแก่ขัตติยราชตระกูล ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มิสเตอร์ มอรันต์ (รอเบิร์ต แอล. มอรันต์) พระอาจารย์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ) เป็นผู้จัดการโรงเรียนนี้ และมีสถานภาพเป็นโรงเรียนพิเศษ มิได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงธรรมการดั่งเช่นโรงเรียนอื่นๆ สถานที่ตั้งของโรงเรียน อยู่ที่หลังพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ภายในพระบรมมหาราชวัง

โรงเรียนราชกุมารนี้ เปิดในวันที่ ๗ มกราคม รัตนโกสินทร์ ศก๒๕ ๑๑๑ เวลาเช้า ๓ โมง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ทรงพระดำเนินขึ้นพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จขึ้นทางบันไดใหญ่ ตรงออกประตูไปประทับที่โรงพัก (พับพลาราชพีธี) นักเรียนซึ่งเข้าแถวยืนประทับพร้อมอยู่ที่นั่น ถวายคำนับแล้วขับพรรณาพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นทรงเสด็จไปถึงประตูโรงเรียน แล้วทรงชักผ้าที่คลุมแผ่นกระดาษ มีอักษรนามโรงเรียน พระราชทานนามว่า “โรงเรียนราชกุมาร” หลังจากนั้นจึงทอดพระเนตรนักเรียนฝึกหัดออกกำลังกาย ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักเรียน และพระอาจารีย์ และทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมรูปอย่างใหญ่ กับนาฬิกาพกแก่มิสเตอร์มอรันต์เป็นกำเหน็จ ในตอนค่ำยังมีการเลี้ยง รวมถึงการแต่งกายแบบแฟนซี อีกด้วย (ข้อมูลข้างต้น อ้างอิงจาก ราชกิจจานุเบกษารัชกาลที่๕ เล่ม๙ หน้าที่ ๓๘๑ ถึง ๓๘๒)

“ที่มา สมุดภาพจดหมายเหตุพระราชโอรสแลพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พุทธศักราช ๒๕๕๒”

“ค้นคว้าโดย พฤฒิพงษ์ เชิดเกียรติกุล”

อนึ่ง จากการค้นคว้าเพิ่มเติม พบว่าพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้วนแล้วแต่ผ่านการศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารนี้ ก่อนที่จะเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเมื่อเจริญพระชนมายุมากขึ้น ในวัยประมาณ ๑๔ ถึง ๑๕ ชันษา นัยว่าโรงเรียนราชกุมาร เปรียบเสมือนโรงเรียนสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศนั้นเอง
เหรียญโรงเรียนราชกุมาร มีลักษณะดังรูป จากการค้นคว้า ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการประกาศใช้ในพระราชกิจจานุเบกษา สันนิษฐานว่าเป็นเหรียญที่พระราชทานแก่นักเรียนในโอกาสที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ หรืออาจเป็นเหรียญรางวัลเรียนดีก็เป็นได้ (ยังไม่สามารถหาข้อมูลมายืนยันได้)

ข้อมูลจำเพาะ

ด้านหน้า: เป็นรูปโล่ห์ มีพระเกี้ยวประดับอยู่ด้านบน ล้อมรอบด้วยช่อชัยพฤกษ์มาลา ด้านล่าง มีแถบโบว์ พร้อมข้อความตรงกลางว่า “ราชกุมาร” ภายในโล่ห์มีตราพระเกี้ยวอยู่ด้านขวาบน ตราจักรีอยู่ด้านซ้ายบน และเป็นรูปหนังสืออยู่ด้านล่างของโล่ห์ เหรียญนี้ประดับพร้อมแพรแถบสีเขียว
ด้านหลัง: เรียบ ไม่มีลวดลายหรือข้อความใดๆ
ขนาด: สูง ๕๕ มิลลิเมตร กว้าง ๓.๖ มิลลิเมตร
ชนิด: เนื้อเงินกะไหล่ทอง (เท่าที่ค้นพบ)

Categories
เหรียญราชอิสริยาภรณ์ เหรียญในรัชกาลที่ 5 พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) เหรียญรัชฎาภิเษกมาลา หรือเหรียญเปลือย ไม่มีหมวดหมู่

พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) เหรียญรัชฎาภิเษกมาลา หรือเหรียญเปลือย

พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา หรือเหรียญเปลือย

The Silver Jubilee Medal
               
ใช้อักษรย่อ ร.ศ. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่พระราชทานเป็นที่ระลึก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญนี้สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และเข้าทูลละอองธุลีพระบาท ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เพื่อเป็นที่ระลึกในมหาพิธีมงคลพิเศษสมัยในการพระราชพิธีฉลองสินิราชสมบัติเจริญมาบรรจบครบ ๒๕ ปี วันที่ ๑ ตุลลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และได้พระราชทานในการพระราชพิธีฉัตรมงคลและฉลองพระไตรปิฎกเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ อีกคราวหนึ่ง

เหรียญรัชฎาภิเศกมาลามีชนิดเดียว เป็นเหรียญเงิน ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและมีอักษรที่ริมขอบว่า “สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรมราชาธิราช”

ด้านหลัง มีอักษรว่า “ที่รฦกการพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ ปี วันที่ ๑ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๒๖ ๑๑๒” อยู่ในวงช่อพุทธรักษาและช่อชัยพฤกษ์ มีห่วงร้อย ใช้ห้อยกับแพรแถบสีชมพู มีริ้วสีขาวทั้งสองข้าง กว้าง ๒.๕ เซนติเมตร


สำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย สำหรับพระราชทานฝ่ายใน พระราชทานแต่ตัวเหรียญ ไม่มีห่วงห้อย และไม่มีแพรแถบ แต่ทรงพระราชทานเป็นที่ระลึก หรือจะนำมาทำเป็นเครื่องประดับหรือภาชนะ เช่นเข็มกลัด  กำไล ตลับ เป็นต้น สำหรับพระราชทานพระภิกษุสงฆ์ทรงสมณศักดิ์พระราชทานเหรียญทองแดง
ผู้ออกแบบ : เสวกเอก หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย
ปัจจุบันเป็นเหรียญพ้นสมัยพระราชทาน

การพระราชทาน
๑. สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน โดยพระราชทานให้เป็นสิทธิไม่ต้องส่งคืน และพระราชทานเฉพาะในมหามงคลสมัยพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ ปี วันที่ ๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ และพระราชพิธี ฉัตรมงคลและฉลองพระไตรปิฎก ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๒
๒. ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญต้องไปลงชื่อในสมุดทะเบียนของกระทรวงมุรธาธร จึงจะประดับเหรียญนี้ได้ หากไม่ลงนามในสมุดทะเบียนฯ จะประดับเหรรียญนี้ไม่ได้ ถือว่าเป็นเหรียญปลอม มิใช่ของพระราชทาน
๓. เมื่อผู้ได้รับพระราชทานสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ได้รับมรดกเก็บรักษาไว้เป็นที่ระลึกสืบไป แต่ไม่มีสิทธิประดับ