Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 7 ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่๗

ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่ ๗

ชุดเหรียญแพรแถบย่อ รัชกาลที่๗

คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
คลิ๊กเพื่อดูภาพใหญ่
Categories
เกร็ดความรู้

เกร็ดความรู้ ว่าด้วยรางวัลการตั้งโต๊ะ พร้อมรูปเหรียญครบครัน

เกร็ดความรู้ ว่าด้วยรางวัลการตั้งโต๊ะ พร้อมรูปเหรียญครบครัน

Categories
เกร็ดความรู้

การประกวดเครื่องโต๊ะ

การประกวดเครื่องโต๊ะ

Categories
เกร็ดความรู้

รายนามพระยายืนชิงช้า

สมัยรัชกาลที่ ๕

๑) พ.ศ. ๒๔๑๑ พระยาสีหราชเดโชชัย ( พิณ )
๒) พ.ศ. ๒๔๑๒ พระยาสีหราชฤทธิไกร ( บัว รัตโนบล )
๓) พ.ศ.๒๔๑๓ พระยาราชสุภาวดี ( เพ็ง เพ็ญกุล ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง
๔) พ.ศ. ๒๔๑๔ พระยามหาอมาตยาธิบดี ( มั่ง สนธิรัตน์ ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี
๕) พ.ศ. ๒๔๑๕ พระยามหาอำมาตยาธิบดี( ชื่น กัลยาณมิตร )
๖) พ.ศ. ๒๔๑๖ พระยาธรรมสารนิติ ( พลับ อมาตยกุล )
๗) พ.ศ.๒๔๑๗ พระยาราชวรานุกูล ( บุญรอด กัลยาณมิตร ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาพลเทพ และเป็นเจ้าพระยารัตนบดินทร์
๘) พ.ศ. ๒๔๑๘ พระยากระษาปณกิจโกศล ( โหมด อมาตยกุล )
๙) พ.ศ. ๒๔๑๙ พระยาศรีสหเทพ ( หรุ่น ศรีเพ็ญ ) ภายหลังเป็น พระยามหาอำมาตยาธิบดี
๑๐) พ.ศ. ๒๔๒๐ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี ( พุก โชติกพุกกณะ )
๑๑) พ.ศ. ๒๔๒๑ พระยาจ่าแสนย์บดี ( เดช )
๑๒) พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร ( เผือก เศวตนันท์ )
๑๓) พ.ศ. ๒๔๒๓ พระยานานาพิพิธภาษี ( โต บุนนาค )
๑๔) พ.ศ. ๒๔๒๔ พระยารัตนโกษา ( จีน จารุจินดา ) ภายหลังเป็นพระยาเพชรพิชัย
๑๕) พ.ศ. ๒๔๒๕ พระยาราชวรานุกูล ( เวก บุณยรัตพันธ์ ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
๑๖) พ.ศ. ๒๔๒๖ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี ( เถียร โชฏิกเสถียร )
๑๗) พ.ศ.๒๔๒๗ พระยามนตรีสุริยวงศ์ ( ชื่น บุนนาค )
๑๘) พ.ศ. ๒๔๒๘ พระยาอนุชิตชาญชัย ( พึ่ง สุวรรณทัต )
๑๙) พ.ศ. ๒๔๒๙ พระยามณเฑียรบาล ( คง สโรบล )
๒๐) พ.ศ. ๒๔๓๐ พระยาธรรนสารนิติ ( ตาด อมาตยกุล )
๒๑) พ.ศ. ๒๔๓๑ พระยาเกษตรรักษา ( นิล กมลานนท์ )
๒๒) พ.ศ. ๒๔๓๒ พระยาอิศรานุภาพ ( เอี่ยม บุนนาค )
๒๓) พ.ศ. ๒๔๓๓ พระยามหามนตรี ( เวก ยมาภัย ) ภายหลังเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์
๒๔) พ.ศ. ๒๔๓๔ พระยาพระยาสีหราชเดโชชัย ( โต บุนนาค ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์
๒๕) พ.ศ. ๒๔๓๕ พระยาพิชัยบุรินทรา ( ฉ่ำ บุนนาค ) ภายหลังเป็นพระยากลาโหมราชเสนา
๒๖) พ.ศ. ๒๔๓๖ พระยาไกรโกษา ( เทศ ภูมิรัตน์ )
๒๗) พ.ศ. ๒๔๓๗ พระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ( ม.ร.ว. หลาน กุญชร ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์
๒๘) พ.ศ. ๒๔๓๘ พระยาวุฒิการบดี ( ม.ร.ว. คลี่ สุทัศน์ ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
๒๙) พ.ศ. ๒๔๓๙ พระยาราชวรานุกูล ( อ่วม )
๓๐) พ.ศ. ๒๔๔๐ พระยาศรีพิพัฒน์ ( หงษ์ สุจริตกุล ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาศิริรัตน์มนตรี
๓๑) พ.ศ. ๒๔๔๑ พระยาเพชรพิชัย ( สิงโต )
๓๒) พ.ศ. ๒๔๔๒พระยาอนุชิตชาญชัย ( ทองคำ สีหอุไร ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสีหราชฤทธิไกร
๓๓) พ.ศ. ๒๔๔๓ พระยาศรีสหเทพ ( เส็ง วิริยสิริ ) ภายหลังเป็นพระยามหาอมาตยาธิบดี
๓๔) พ.ศ. ๒๔๔๔ พระยาทิพยโกษา ( หมาโต โชติกเสถียร )
๓๕) พ.ศ. ๒๔๔๕ พระยาอภัยรณฤทธิ์ ( บุตร บุณยรัตพันธ์ )
๓๖) พ.ศ. ๒๔๔๖ พระยาเทพอรชุน ( เจ๊ก จารุจินดา )
๓๗) พ.ศ. ๒๔๔๗ พระยาอนุชิตชาญชัย ( สาย สิงหเสนี )
๓๘) พ.ศ. ๒๔๔๘ พระยาประสิทธิ์ศัลยการ ( สะอาด สิงหเสนี ) ภายหลังเป็นพระยาสิงหเสนี
๓๙) พ.ศ. ๒๔๔๙ พระยาบำเรอภักดิ์ ( เจิม อมาตยกุล ) ภายหลังเป็นพระยาเพชรพิชัย
๔๐) พ.ศ. ๒๔๕๐ พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง ( ม.ร.ว. ลบ สุทัศน์ ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร
๔๑) พ.ศ. ๒๔๕๑ พระยาสีหราชเดโชชัย ( ม.ร.ว. อรุณ ฉัตรกุล )ภายหลังเป็นเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต
๔๒) พ.ศ. ๒๔๕๒ พระยาวิสุทธิ์สุริยศักดิ์ ( ม.ร.ว. เปีย มาลากุล )ภายหลังเป็นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี

สมัยรัชกาลที่ ๖

๑) พ.ศ. ๒๔๕๓ พระยาไพบูลย์สมบัติ ( เดช บุนนาค )
๒) พ.ศ. ๒๔๕๔ พระยารักษ์มหานิเวศน์ ( กระจ่าง บุรณศิริ )
๓) พ.ศ. ๒๔๕๕ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร ( ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี
๔) พ.ศ. ๒๔๕๖ พระยาเวียงในนฤบาล ( เจ๊ก เกตุทัต )
๕) พ.ศ. ๒๔๕๗ พระยาศรีวรุวงศ์ ( ม.ร.ว. จิตร สุทัศน์ )
๖) พ.ศ. ๒๔๕๘ พระยาราชนุกูล ( อวบ เปาโรหิตย์ )
๗) พ.ศ. ๒๔๕๙ พระยาอภัยรณฤทธิ์ ( เชย ยมาภัย ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยายมาภัยพงศ์พิพัฒน์
๘) พ.ศ. ๒๔๖๐ พระยาสีหราชเดโชชัย ( แย้ม ณ นคร ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต
๙) พ.ศ. ๒๔๖๑ พระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ( ม.ร.ว. เย็น อิสรเสนา ) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์
๑๐) พ.ศ. ๒๔๖๒ พระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี ( ทองดี โชติกเสถียร )
๑๑) พ.ศ. ๒๔๖๓ พระยาศรีธรรมาธิราช ( เจิม บุณยรัตพันธ์ )
๑๒) พ.ศ. ๒๔๖๕ พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร ( ม.ร.ว. สิทธิ์ สุทัศน์ )
๑๓) พ.ศ.๒๔๖๖ พระยานรเนติบัญชากิจ ( ลัด เศรษฐบุตร )
๑๔) พ.ศ.๒๔๖๗ พระยาสุวรรณศิริ ( ทองดี สุวรรณศิริ )

สมัยรัชกาลที่ ๗

๑) พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาบำเรอบริรักษ์ ( สาย ณ มหาชัย )
๒) พ.ศ. ๒๔๖๙ พระยาบุรุษรัตน์ราชพัลลภ ( นพ ไกรฤกษ์ )
๓) พ.ศ. ๒๔๗๐ พระยาอิศรพัลลภ ( สนิท จารุจินดา )
๔) พ.ศ. ๒๔๗๑ พระยากลาโหมราชเสนา ( เล็ก ปาณิกบุตร )
๕) พ.ศ. ๒๔๗๒ พระยามโหส๔ศรีพิพัฒน์ ( เชิญ ปริญญานนท์ )
๖) พ.ศ. ๒๔๗๓ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี ( ผ่อง โชติกพุกกณะ )
๗) พ.ศ. ๒๔๗๔ พระยาปฏิพัทธ์ภูบาล ( คอยู่เหล ณ นอง )
๘) พ.ศ. ๒๔๗๕ พระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ ( เตี้ยม บุนนาค )
๙) พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยาอมเรศสมบัติ ( ต่วน ศุวณิช )
๑๐) พ.ศ. ๒๔๗๗ พระยาชลมาร์คพิจารณ์ ( ม.ร.ว. พงศ์ สนิทวงศ์ )

เอกสารอ้างอิง

๑) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระราชพิธีตรียัมพวาย – ตรีปวาย , พระยาชลมารคพิจารณ์ อธิบดีกรมชลประทาน พิมพ์เป็นอนุสรณ์เมื่อเป็นพระยายืนชิงช้า พ.ศ. ๒๔๗๗
๒) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ , เรื่องตั้งเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ อนุสรณ์หม่อมหลวงชูชาติ กำภู ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๒

Categories
เกร็ดความรู้

Bronze (เหรียญ เนื้อสำริด )

เนื่องจากนักสะสมจำนวนมาก ยังมีความสับสนระหว่างเนื้อทองแดง และ Bronze (บรอนซ์) ซึ่งแปลเป็นไทยว่าเนื้อสำริด จึงขอนำบทความทางวิชาการ โดยสังเขป เกี่ยวกับ สำริด และโลหะผสมทองแดงประเภทต่างๆ รวมถึงวิธีดูแลรักษาวัสดุที่ทำจากโลหะผสมเหล่านี้ มาแสดงไว้ ณ ที่นี้

องค์ประกอบของสำริด

ตามความหมายที่แท้จริง สำริด คือ โลหะผสมที่มีทองแดงเป็นหลัก องค์ประกอบอื่นๆ คือดีบุกและตะกั่ว อาจมีเหล็ก อาร์ซีนิค สังกะสี เจือปนอยู่ด้วยเล็กน้อย แต่ในปัจจุบันความหมายของสำริดเปลี่ยนไป สำริดปัจจุบันหมายถึงโลหะผสมที่มีทองแดงเป็นหลัก องค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ตะกั่ว ฟอสฟอรัส ซิลิคอน อาร์ซีนิค (สารหนู) บิสมัท อะลูมิเนียม ซึ่งนำไปใช้งานหลากหลายรูปแบบ ชนิดและปริมาณของโลหะอื่นๆ ที่ผสมในโลหะผสมของทองแดงส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของโลหะผสมนั้นๆ อย่างมากมาย

ทองแดงบริสุทธิ์มีสีชมพูคล้ายเนื้อปลาแซลมอน ลักษณะเป็นมันวาว สามารถดึงยึดหรือตีแผ่เป็นแผ่นบางได้ดีไม่ทนทานต่อการกัดกร่อน ส่วนดีบุกเป็นโลหะที่มีสีขาว คล้ายเงิน ไม่ค่อยแข็ง แต่มีการต้านทานต่อการกัดกร่อนสูงและมีคุณสมบัติด้านหล่อลื่น สามารถดึงยึดหรือรีดเป็นแผ่นบางได้ดี

เมื่อนำทองแดงและดีบุกมาหลอมรวมกันในอัตราส่วนผสมต่างๆ จะได้โลหะผสมที่เรียกว่าสำริด ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าทองแดงและโลหะอื่นๆมาก สามารถใช้งานได้หลากหลายขึ้น และทนทานต่อการกัดกร่อนดีขึ้น

เมื่อมีการค้นพบการทำสำริด ชุมชนโบราณก็มีการใช้สำริดแทนที่ทองแดงอย่างมากมาย ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะการขึ้นรูปทองแดงต้องใช้วิธีตีเป็นเวลานาน ส่วนสำริดเป็นโลหะที่แข็งและตีขึ้นรูปยากกว่าทองแดง เมื่อมีการค้นพบสำริดแล้ว จึงนิยมผลิตสำริดมากกว่าผลิตเครื่องมือเครื่องใช้จากทองแดง เนื่องจากการหล่อสำริดไม่ต้องผ่านการตีขึ้นรูปเป็นเวลานาน สามารถเทลงในแม่พิมพ์ออกมาเป็นรูปร่างที่ต้องการ และมีความแข็งพอเพียงที่จะใช้งานได้ทันที เป็นการประหยัดเวลาและพลังงาน

นอกจากนี้การหล่อสำริดยังทำได้ง่ายและได้โลหะที่มีคุณสมบัติดีกว่าทองแดง เพราะทองแดงบริสุทธิ์มีแนวโน้มที่เกิดฟองอากาศ ระหว่างการหล่อ ทำให้ได้โลหะที่มีเนื้อพรุนคล้ายฟองน้ำ ในขณะที่สำริด ไม่เกิดฟองอากาศระหว่างการหล่อ นอกจากนี้ สำริดยังมีคุณสมบัติเหนือกว่าโลหะอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติที่เอื้อต่อกระบวนการผลิต เมื่อสำริดเริ่มแข็งตัวเป็นของแข็งจะขยายตัว ทำให้โลหะแทรกซึมเข้าไปตามช่องว่าง และซอกหลืบของแม่พิมพ์ได้อย่างทั่วถึง เมื่อสำริดเย็นตัวลงจะหดตัวเล็กน้อย ทำให้สามารถแยกออกจากแม่พิมพ์ได้ง่าย และเมื่อผสมตะกั่วลงไปเล็กน้อย สำริดนั้นๆ จะหล่อได้ง่ายขึ้น เพราะตะกั่วช่วยลดจุดหลอมเหลว

เพิ่มความสามารถในการไหล สามารถหล่อเป็นแผ่นบางๆได้ แต่ตะกั่วไม่สามารถละลายได้ในทองแดงและดีบุก เมื่อตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นตะกั่วปะปนอยู่ในเนื้อสำริดในลักษณะเป็นเม็ดกลมๆเล็ก กระจัดกระจายๆ คุณสมบัติของสำริด ขึ้นอยู่กับปริมาณของโลหะอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณดีบุกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณสมบัติของสำริด ปริมาณดีบุกมีผลต่อสี ความแข็ง จุดหลอมเหลว และความทนทานต่อการกัดกร่อนของสำริด

องค์ประกอบ
– สำริดที่มีดีบุก ๕% สีออกแดง เนื้อเปราะ
– สำริดที่มีดีบุก ๑๐% สีคล้ายทอง
– สำริดที่มีดีบุก ๑๐-๒๐% สีคล้ายเงิน
– สำริดที่มีดีบุก ๑๐-๒๐% และตะกั่ว ๕% สีเหลืองทอง เนื้อแข็ง
– สำริดที่มีดีบุก ๒๕% ตะกั่ว ๕% สีคล้ายเงิน เป็นมันเงา ทนการกัดกร่อนดี แต่เปราะ
– สำริดที่มีดีบุก ๓๐-๓๕% ตะกั่ว ๕% สีขาว เปราะ
– สำริดที่มีสังกะสีผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย สีเหลืองอ่อน

สำริดที่มีเนื้อเดียวกัน ควรมีดีบุกผสมอยู่ไม่เกิน ๑๔% สำริดที่มีดีบุกผสมอยุ่ไม่เกิน ๑๗% เรียกว่า สำริดดีบุกต่ำ (Low-tin bronze) เนื่องจากปริมาณดีบุก ๑๗% เป็นปริมาณสูงสุดที่ดีบุกจะละลายได้ในทองแดง แต่ถ้ามีดีบุกผสมอยู่มากกว่า ๑๗% เรียกว่าสำริดดีบุกสูง (High-tin bronze) เนื้อโลหะมักจะไม่เป็นเนื้อเดียวกัน


ปัจจุบันนี้มีการผลิตและเรียกชื่อโลหะผสมของทองแดงแตกต่างกันมากมาย และบางครั้งก่อให้เกิดความสับสน โดยทั่วไป คำว่าสำริด ตรงกับคำภาษอังกฤษว่า บรอนซ์ (Bronze) ซึ่งเดิมหมายถึงโลหะผสมของทองแดงที่มีดีบุกผสมอยู่แต่ปัจจุบันนี้คำว่าบรอนซ์มีความหมายเปลี่ยนไปจากเดิม องค์ประกอบของบรอนซ์เปลี่ยนไปจากเดิม มีการผสมโลหะอื่นๆลงไปเพื่อปรับปรุงคุณภาพ โลหะผสมบางอย่างมีองค์ประกอบที่จัดเป็นทองเหลือง แต่ในทางการค้ามีชื่อเรียกกันว่าบรอนซ์นอกจากนี้ยังมีโลหะผสมทองทองแดงเกิดขึ้นใหม่ๆ อีกมากมายที่มีสีเหมือน ทอง เงิน ทองแดง ทองเหลือง และสำริด ในกรณีที่ไม่ทราบองค์ประกอบที่แท้จริงของโลหะเหล่านั้น เพื่อป้องกันความผิดพลาด ควรเรียกโลหะเหล่านี้ว่า โลหะผสมของทองแดง

นอกจากสำริดแล้ว โลหะผสมของทองแดงที่คุ้นเคยในปัจจุบัน ได้แก่ ทองเหลือง (brass) ซึ่งเป็นโลหะผสมของทองแดงกับสังกะสี ๑๐-๒๐% จะมีสีเหลืองคล้ายทอง แต่นานไปจะหมอง ทองเหลืองเริ่มปรากฎหลังจากสำริดหลายพันปี เนื่องจากการถลุงแร่สังกะสีทำได้ยากมากต้องใช้อุณหภูมิสูงจนถึงจุดเดือด การผลิตทองเหลืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ใช้วิธีเผาแร่ทองแดงและแร่สังกะสีเข้าด้วยกัน หลักถานทางโบราณคดีแสดงว่าชาวโรมันมีการผลิตทองเหลืองเมื่อประมาณ ๒,๐๕๐ ปีมาแล้ว โดยใช้ทำเงินตรา เช่นเดียวกับโบราณคดีหลายแห่งในเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดียนิยมใช้ทองเหลืองในการทำหลังคา เครื่องเรือน ภาชนะหุงต้ม ภาชนะใส่อาหาร มาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่องถึง ๒,๐๐๐ ปีจนถึงปัจจุบัน ในระยะหลังๆ มีการใช้สังกะสีมากขึ้น เนื่องจากหล่อง่าย ใช้อุณหภูมิไม่สูงมากนัก เช่นถ้าผสมสังกะสี ๒๐% จะได้โลหะผสมที่หลอมเหลวที่ ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส แต่ถ้าผสมสังกะสี ๖๐% จะหลอมเหลวที่ ๘๓๓ องศาเซลเซียส

ทองเหลืองส่วนใหญ่ประกอบด้วยทองแดงและสังกะสีไม่เกิน ๔๐% เนื่องจากสังกะสีละลายได้ดีในทองแดงให้สารละลายของแข็ง (Solid solution) โดยสังกะสีสามารถละลายได้สูงถึง ๓๙% ได้โลหะผสมที่มีความแข็งแรง ความเหนียว ความแข็งสูง แต่ถ้าผสมสังกะสีมากกว่านี้ จะได้สารประกอบเชิงโลหะระหว่างทองแดงกับสังกะสีอีกหลายชนิด ซึ่งมีผลทำให้ความแข็งแรง ความแข็ง ความเหนียว และคุณสมบัติทนการกัดกร่อน ตลอดจนสีของสีของทองเหลืองเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณของสังกะสีที่ผสม เช่น ถ้าผสมสังกะสี ๔๐-๔๕% จะได้ความแข็งแรงสูงสุดเมื่อผสมสังกะสี ๒๕-๓๕% ถ้าเลยขอบเขตนี้ไปแล้วความเหนียวจะลดลงอย่างรวดเร็ว

ทองเหลืองที่ผสมสังกะสีไม่เกิน ๕% มีชื่อทางการค้าว่า gilding metal ใช้ทำเหรียญ เงินตราต่างๆ โล่ห์ ถ้วยรางวัล เครื่องประดับราคาถูก ทองปลอม และใช้เป็นโลหะสำหรับชุบทอง


ทองเหลืองที่ผสมสังกะสี ๑๐% เรียกว่า commercial bronze หรือบรอนซ์ทางการค้า แต่ความจริงเป็นทองเหลืองคุณสมบัติและการใช้งานคล้ายคลึงกับ gilding metal ส่วนทองเหลืองที่ผสมกับสังกะสี ๑๒.๕% เรียกว่า jewelry bronze ใช้ทำเครื่องประดับ

ทองเหลืองที่ผสมสังกะสี ๓๐% เรียกว่า cartridge brass ใช้ทำปลอกกระสุนปืน ทำท่อที่ต้องอาศัยการอัดขึ้นรูป (extrusion) หม้อน้ำระบายความร้อน ท่อควบแน่น โคมไฟ หมุด สปริง ทองเหลืองที่ผสมสังกะสี ๓๕% เรียกว่า yellow metal มีสีค่อนข้างเหลืองจัด คุณสมบัติและการใช้งานใกล้เคียงกับ cartridge brass ถ้าผสมสังกะสี ๔๐% เรียกว่า munts metal เป็นทองเหลืองที่มีความแข็งแรง และใช้งานในสภาพที่มีความร้อนสูงได้ดี ใช้ตีเป็นแผ่นแล้วนำมาหุ้มเรือเหล็ก ทำอุปกรณ์ควบแน่น วาล์ว สลัก กลอน ถ้าเปลี่ยนส่วนผสมเล็กน้อยโดยผสมสังกะสี ๓๙% และดีบุก ๑% จะได้ทองเหลืองที่เรียกว่า naval brass ใช้ทำอุปกรณ์ในเรือเดินทะเล วาล์ว เข็มแทงชนวนในปืนพก

ทองเหลืองที่มีทองแดง ๗๐% สังกะสี ๒๙% แลดีบุก ๑% เรียกว่า admirality brass ดีบุกที่ผสมลงไปเล็กน้อยทำให้ได้ทองเหลืองที่ทนทานต่อการกัดกร่อนดี มีความแข็งแรงสูงขึ้น ใช้ทำท่อควบแน่น ท่อแรกเปลี่ยนความร้อน


นอกจากนี้ยังมีทองเหลืองที่มีชื่อแตกต่างออกไปอีกหลายชนิดตามลักษณะการค้า และส่วนผสม เช่น ทองเหลือง ตะกั่ว (lead brass) ทองเหลืองดีบุก (tin brass) ทองเหลืองอลูมิเนียม (aluminium brass) ทองเหลืองซิลิคอน (silicon brass) โลหะผสมของทองแดงที่มีคุณสมบัติพิเศษและนิยมใช้งานมากในปัจจุบัน คือ ทองแดงนิกเกิล (cupronnickel) เป็นโลหะผสมที่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบหลัก และมีนิกเกิลผสมอยู่ด้วย ๑๐-๑๕% และอาจมีเหล็ก แมงกานีส อลูมิเนียมผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย นิกเกิลทำให้ทองแดงเปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีเงิน โลหะผสมชนิดนี้มีความเหนียวสูง สามารถขึ้นรูปได้ทั้งร้อนและเย็น ทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกัดกร่อนที่เกิดจากน้ำทะเล ใช้ในการทำท่อกลั่นอุปกรณ์ถ่ายเทความร้อนที่ใช้ในเรือเดินทะเล โลหะผสมของทองแดงอีกชนิดหนึ่งที่พบบ่อยและใช้มากในบ้านเรือนปัจจุบัน คือ โลหะผสมของทองแดง นิกเกิล และสังกะสี ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีสีเงิน มีชื่อเรียกว่า เงินนิกเกิล (nickel silver) หรือเงินเยอรมัน (German silver) มีทองแดง ๖๐% นิกเกิล ๑๐-๓๐% และสังกะสี ๑๐-๒๐% มีความแข็งแรงดี ทนต่อการกัดกร่อนสูง และต้านทานต่อการเกิดออกซิเดชัน นิยมใช้แทนเงิน ในการทำช้อน ส้อม มีด

บรอนซ์อลูมิเนียม (aluminium bronze) เป็นโลหะผสมที่ทองแดงเป็นหลัก และมีอลูมิเนียมผสมอยู่ประมาณ ๕-๑๕% โดยอาจมีโลหะอื่นๆ เช่น เหล็ก นิกเกิล แมงกานีส ปะปนอยู่เล็กน้อย บรอนซ์อลูมิเนียมมีคุณสมบัติเชิงกลสูงแข็งแรง เหนียว ต้านทานการกัดกร่อนได้ดีทั้งที่อุณหภูมิห้องและที่อุณหภูมิสูง ไม่เกิน ๔๐๐ องศาเซลเซียส สามารถทำการชุบแข็งและอบคืนตัวได้ในลักษณะเดียวกันกับ เหล็กกล้าคาร์บอน ใช้ทำโลหะแบริ่ง (bearing metal) ซึ่งใช้ทำเป็นส่วนประกอบรองรับหัวท้ายของเพลาหมุน และใช้ในเครื่องยนต์กลไกต่างๆ การผลิตบรอนซ์อลูมิเนียมต้องใช้เทคโนโลยีสูงมาก เนื่องจากโลหะผสมดังกล่าวมีช่วงแข็งตัวแคบมาก มีการหดตัวสูง และดูดก๊าซได้มากระหว่างการหล่อหลอม

บรอนซ์ซิลิกอน (silicon bronze) เป็นโลหะผสมที่มีทองแดงเป็นหลัก และมีซิลิกอนผสมอยู่ เป็นโลหะผสมที่แข็งแรงมาก ใกล้เคียงกับบรอนซ์อลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่ใช้ในงานก่อสร้าง มีความทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทนน้ำทะเลได้ดี และสามารถทำการเชื่อมได้ดี จึงใช้ในการทำภาชนะที่มีความดัน เช่น ถังบรรจุขนาดใหญ่ ทำรูปหล่อรูปเคารพต่างๆ

บรอนซ์ฟอสฟอรัส (phosphor bronze) เป็นโลหะผสมที่มีทองแดงและดีบุกเป็นหลัก และเติมฟอสฟอรัสเล็กน้อยประมาณ ๐.๑-๑.๐% เพื่อกำจัดออกซิเจนระหว่างการหลอมเหลว เป็นโลหะผสมที่แข็งมาก มีความเค้นแรงดึงสูง ทนทานต่อก่อการกัดกร่อนได้ดี มีสัมประสิทธ์ความฝืดต่ำ จึงใช้เป็นโลหะแบริ่ง และใช้กับงานที่ต้องรับน้ำหนักสูงๆ

บรอนซ์เบริลเลียม (beryllium bronze) เป็นโลหะที่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบหลัก และมีแบริลเลียมอยู่ด้วยไม่เกิน ๒.๗% มีความแข็งสูงใกล้เคียงกับเหล็กกล้าผสม มีความเค้นแรงดึงสูง ทนต่อการยืดตัวดี นำไฟฟ้าได้ดี และทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี ใช้ทำสปริง ไดอะแฟรม ที่ใช้ในบรรยากาศที่มีการกัดกร่อน และทำเครื่องมือประเภทที่ไม่ทำให้เกิดประกายไฟ เป็นโลหะผสมที่มีราคาแพง
โลหะผสมของทองแดงอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากการผสมทองแดงกับอาร์ซินิก (หรือสารหนู) ประมาณ ๓% ชื่อเรียกว่าทองแดงอาร์เซเนียล (arsenical copper) ถ้ามีอาร์ซีนิกผสมอยู่ ๒% จะมีสีเหมือนทอง แต่ถ้าผสมอาร์ซีนิก ๔-๖% จะมีสีคล้ายเงิน เป็นโลหะผสมที่ทนทานต่อการสึกกร่อนจากสภาพการใช้งานที่ต้องสัมผัสกับบรรยากาศที่มีการกัดกร่อนรุนแรงใช้ในการ ทำอุปกรณ์เครื่องควบแน่น เครื่องแรกเปลี่ยนความร้อน

ทองแดงผสมเงิน เป็นโลหะผสมที่ใช้ในการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้างานหนัก เช่นมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนรถไฟอากาศยาน เงินที่ผสมลงไปช่วยเพิ่มระดับอุณหภูมิของการเกิดผลึกใหม่ให้แก่ทองแดง ช่วยป้องกันมิให้ชิ้นงานทองแดงอ่อนตัวเมื่อทำการบัดกรี


ทองแดงตัดง่าย (free-cutting copper) เป็นโลหะผสมของทองแดงที่มีเทลลูเรียมผสมอยู่ ๐.๖% เป็นโลหะผสมที่สามารถตกแต่งด้วยเครื่องจักรได้ง่าย ใช้ทำสลักเกลียว ตะปู หัวเชื่อม ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องการความแม่นยำสูง
โลหะผสมที่ทำเลียนแบบทองหรือทองปลอม ในปัจจุบัน เป็นโลหะผสมที่มีทองแดง ๘๓% ดีบุก ๑๑.๕% กับแมกนีเซียม ๕% หรืทองแดง ๘๓% สังกะสี ๑๑.๕% กับแมกนีเซียม ๕% ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีเกรนเล็กละเอียด สามารถดึงรีดได้ดี เมื่อขัดผิวจะขึ้นเงา

จะเห็นได้ว่าความรู้จากการนำทองแดงมาใช้งานและเทคนิดการหล่อสำริดที่ก่อกำเนิดเมื่อ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ทำให้เกิดโลหะผสมของทองแดง ชนิดอื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในชีวิตประจำวัน และระดับอุสาหกรรมหนัก


สนิมคือสารประกอบที่เกิดจากโลหะทำปฏิกิริยากับสารอื่น เช่น ออกซิเจน น้ำ กรด ด่าง เกลือ แล้วเกิดเป็นสารประกอบใหม่ การที่โลหะเป็นสนิมง่าย เนื่องจากขณะทำการถลุงแร่เพื่อให้ได้โลหะบริสุทธิ์ ต้องมีการเติมพลังงานความร้อนเข้าไปในแร่ ซึ่งเป็นสารประกอบของโลหะ เพื่อแยกเอาโลหะออกมาจากแร่ ทำให้โลหะอยู่ในสภาวะที่ได้รับพลังงานความร้อนสูงกว่าที่เคยเป็น จึงอยู่ในสภาพที่ไม่มีเสถียรภาพ อะตอมของโลหะจึงพยายามกลับเข้าสู่สภาพเดิมที่มีเสถียรภาพมากกว่า โดยการคายพลังงานออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีหรือไฟฟ้าเคมีกับสารประกอบที่อยู่รอบๆกระบวนการเช่นนี้เรียกว่า กระบวนการเกิดสนิม (corrosion process) สนิมจึงเป็นจุดสังเกตเริ่มแรกที่แสดงให้เห็นว่าโลหะวัตถุเริ่มเกิดการเสื่อมสภาพ

การที่โลหะชนิดใดจะเป็นสนิมได้ง่ายหรือยาก ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางเคมีของโลหะนั้นๆสภาพแวดล้อมและกรรมวิธีการผลิต โลหะบางชนิดสามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบต่างๆ ได้ง่าย จะเกิดสนิมภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น เหล็ก ทองแดง ในขณะที่โลหะบางชนิดไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารประกอบต่างๆในสภาพแวดล้อมตามปกติ จึงไม่เกิดสนิมเช่น ทอง ทองคำขาว ฯลฯ กรรมวิธีในการผลิตมักส่งผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพของโลหะ เช่น การผลิตโลหะโดยวิธีการทุบหรือตีขึ้นรูปขณะเย็น จะได้ผลิตภัณฑ์ที่เปราะ แตกหักง่าย อัตราเร็วในการชำรุดเสื่อมสภาพของสำริดแต่ละชิ้นจึงไม่เท่ากัน สนิมที่เกิดขึ้นบนสำริดมีทั้งสนิมดีที่ควรเก็บรักษาไว้และสนิมอันตรายที่ต้องขจัดออก ดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ควรพิจารณาหาสาเหตุที่ทำให้สำริดเกิดการเสื่อมสภาพและทำความรู้จักคุ้นเคยกับสนิมสำริด

สนิมสำริด

ศิลปะวัตถุ โบราณวัตถุที่ทำจากสำริด ไม่ว่าจะอยู่เหนือดินหรืออยู่ใต้ดิน จะเกิดสนิมปกคลุมบนผิวเสมอ สนิมสำริดมีหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน เพื่อความรวดเร็วจะจำแนกชนิดของสนิมตามสีของสนิม เช่นสนิมสีน้ำตาลแดง สนิมสีฟ้า สนิมสีเขียวเข้ม สนิมสีเขียว เป็นต้น สนิมที่มักพบบนสำริดได้แก่

  • สนิมสีน้ำตาลแดงหรือสนิมทองแดงออกไซด์ เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า คิวไพรต์ (cuprite) เป็นกลุ่มสนิมที่เกิดขึ้นติดกับเนื้อโลหะ มีความแข็งประมาณ ๓.๕-๔ ตาม Mohs’ scale และไม่ละลายน้ำ
  • สนิมสีเขียวเข้มหรือสนิมทองแดงคาร์บอเนต เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า มาลาไคต์ (malachite) มีชื่อทางเคมีว่าคอปเปอร์คาร์บอเนต ไฮดรอกไซด์ (copper carbonate hydroxide)
  • สนิมสีน้ำเงิน เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า อะซูไรต์ (azurite) มีชื่อทางเคมีเป็น คอปเปอร์คาร์บอเนต ไฮดรอกไซด์ เช่นกัน แต่ต่างกันที่ประจุบวกของโลหะทองแดงที่เป็นองค์ประกอบของมาลาไคต์มีประจุ +๒ ในขณะที่โลหะทองแดงที่เป็นองค์ประกอบของอะซูไรต์จะมีประจุ +๓ เมื่ออะซูไรต์ได้รับความชื้นมากพอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายไปเป็นมาลาไคต์ จึงไม่ค่อยพบสารประกอบอะซูไรต์บนสำริดมากนัก
  • สนิมสีเขียวอมฟ้าหรือสนิมทองแดงซัลเฟต เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า โบรแคนไทต์ (brochantite) มีชื่อทางเคมีว่า คอปเปอร์ซัลเฟต ไฮดรอกไซด์ (copper sulphate hydroxide) เป็นสนิมที่เกิดขึ้นทั่วไปบนโลหะผสมของทองแดง เมื่ออยู่ในอากาศที่มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปะปนอยู่ หรือในดินที่มีอนุมูลซัลเฟต โบรแคนไทต์เป็นสนิมสีเขียวอมฟ้าที่มีลักษณะแวววาวดังแก้ว และมีเสถียรภาพมากที่สุดในบรรดาสนิมที่เกิดขึ้นบนโลหะผสมของทองแดง มีความแข็ง ๒.๕-๔ ตาม Mohs’ scale
  • สนิมสีเทาหรือเขียวอมเทา เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า แนนโตไคต์ (nantokite) ชื่อทางเคมีคือ คิวปรัสคลอไรด์ (cuprous chloride) เกิดขึ้นบนผิวทองแดงและโลหะผสมของทองแดงได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นติดกับผิวโลหะใต้ชั้นทองแดงออกไซด์ หากเกิดสนิมที่มีลักษณะเป็นหลุมหรือเป็นรู ชั้นของคิวปรัสคลอไรด์จะอยู่ใต้ผิวของโลหะ บางกรณีคิวปรัสคลอไรด์เกิดขึ้นเหนือชั้นทองแดงออกไซด์ โดยอยู่ระหว่างชั้นของทองแดงออกไซด์และทองแดงคาร์บอเนต เมื่อคิวปรัสคลอไรด์ได้รับความชื้นและออกซิเจน จะเปลี่ยนไปเป็นอะทาคาไมต์ ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีเขียว
  • สนิมสีเขียวอ่อน เป็นสนิมที่มีชื่อทางแร่ว่า พาราทาคาไมต์ (paratacamite) หรืออะทาคาไมต์ (atacamite) มีชื่อทางเคมีว่า คิวปริกคลอไรด์ ไตรไฮเดรต (cupric chloride trihydrate) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสนิมกัดกร่อน หรือ bronze disease มักพบในลักษณะที่เป็นผงสีเขียวอ่อนอยู่ในหลุม หรือรูบนผิวหน้าของสนิมทองแดงคาร์บอเนต สนิมชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วสามารถลุกลามแพร่กระจายกัดกินเนื้อโลหะต่อไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

ในบรรยากาศปกติ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในระยะเวลาอันสั้นจะมีสนิมออกไซด์ปกคลุมผิวเป็นชั้นบางๆ ชั้นสนิมดังกล่าวช่วยปิดกั้นผิวโลหะไม่ให้ทำปฏิกิริยากับอากาศ สนิมทองแดงออกไซด์ที่เกิดขึ้นนี้ มีสีน้ำตาลแดง มีชื่อทางแร่ว่า คิวไพรต์ (cuprite) เมื่อเกิดสนิมทองแดงออกไซด์มากขึ้น ชั้นของสนิมจะหนาขึ้น ทำให้ผิวของโลหะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้น้อยลง ทำให้ปฏิกิริยาการเกิดสนิมทองแดงออกไซด์ช้าลง หากสภาพแวดล้อมมีความชื้นต่ำ การเกิดสนิมทองแดงออกไซด์จะหยุดลง แต่เมื่อใดที่สภาพแวดล้อมมีความชื้นสูง ความชื้นจะช่วยเร่งให้เกิดปฎิกิริยาการเกิดสนิมออกไซด์ต่อไป แต่อัตราการเกิดสนิมจะช้าลง
หากบรรยากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มากกว่า ๐.๐๔% และในน้ำฝนมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ ๐.๔ ส่วนในล้านส่วน (ppm) และมีค่าความเป็นกรดปานกลาง คือมีค่าประมาณ ๕.๘ จะทำให้เกิดสนิมสีเขียวเข้มมาลาไคต์ (malachite) และสนิมสีดำทีโนไรต์ (tenorite) บนสำริด สนิมมาลาไคต์เป็นสนิมที่มีเสถียรภาพมาก เมื่อเกิดขึ้นบนผิวสำริดแล้วจะช่วยปกป้องเนื้อสำริดที่อยู่ภายใต้มิให้เกิดสนิมอีกต่อไป ดังนั้นจึงควรรักษาไว้


ในขณะที่สำริดถูกฝังอยู่ใต้ดินซึ่งมีความชื้นสูงหรืออยู่ในสภาพเปียก โลหะสามารถเกิดการเสื่อมสภาพได้จากกระบวนการเคมีไฟฟ้า (electrochemical process) เนื่องจากโครงสร้างของโลหะในสถานะของแข็งมีลักษณะแบบโครงสร้างผลึก (lattice structure) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายตารางเกิดจากหน่วยเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นลูกบาศก์สามมิติที่เกาะกันอย่างต่อเนื่องไร้ขอบเขตมีอะตอมของโลหะ เช่น โลหะทองแดงอยู่บริเวณมุมของหน่วยเซลล์ และมีอิเล็กตรอนล้อมรอบอะตอมของโลหะนั้นๆ อิเล็กตรอนมีประจุลบ จะวิ่งอยู่รอบๆ อะตอมของทองแดงที่เป็นประจุบวก อิเล็กตรอนเหล่านี้มีอิสระที่จะวิ่งไปมาภายในโคลงสร้างของผลึกทองแดง จึงเกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้า เมื่อสำริดถูกฝังอยู่ใต้ดินที่มีความชื้นสูง มีออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ซัลไฟด์และอนุมูลคลอไลด์ ทำให้โลหะสำริดิอยู่ท่ามกลางสารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรด ด่าง และเกลือ กระบวนการเคมีไฟฟ้าจึงเกิดขึ้น

โดยจะเกิดกระแสไฟฟ้าที่ผิวบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่เปรียบเสมือนขั้วบวกของวงจรไฟฟ้า (anode) กระแสไฟฟ้าดังกล่าวเคลื่อนสู่ดินแล้วเคลื่อนเข้าสู่ผิวโลหะอีกบริเวณหนึ่งที่เปรียบเสมือนขั้วลบของวงจรไฟฟ้า (cathode) ผิวโลหะบริเวณที่กระแสไฟฟ้าเคลื่อนสู่ดินจะเกิดการกัดกร่อน ส่วนผิวโลหะที่บริเวณที่กระแสไฟฟ้าเคลื่อนจากดินเข้าสู่โลหะจะไม่เกิดการกัดกร่อน สำริดที่เกิดการเสื่อมสภาพจากกระบวนการเคมีไฟฟ้ามักมีผิวขรุขระ เป็นปุ่มปม และหลุมบ่อ

โดยทั่วไป การเกิดสนิมสำริดสามารถเกิดขึ้นได้ ๒ ลักษณะคือ

๑. การเกิดสนิมที่ผิว เป็นการเกิดสนิมที่พบเห็นกันทั่วไป กล่าวคือเกิดขึ้นทั่วทั้งผิวหน้าของวัตถุ เมื่อสำริดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บรรยากาศมีออกซิเจน ความชื้น คาร์บอนไดออกไซด์ หรือซัลไฟด์ จะเกิดสนิมทองแดงออกไซด์บนผิวหน้าโลหะทองแดง และอาจเกิดสนิมสีเขียวเข้มทองแดงคาร์บอเนตบนสนิมทองแดงออกไซด์ สำริดที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินจะเกิดสนิมทองแดงออกไซด์และสนิมทองแดงคาร์บอเนตบนผิวหน้าของสำริดเช่นกัน เนื่องจากบริเวณหนึ่งขณะนั้นเป็นขั้วบวกและเกิดเป็นขั้วลบในเวลาต่อมา
ลักษณะการเกิดสนิมแบบนี้ทำให้เกิดสนิมชนิดดีที่เรียกว่า patina ทั่วทั้งผิวหน้าวัตถุ เป็นสนิมชนิดที่มีผิวเรียบและชั้นของสนิมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรักษารูปร่างและลายละเอียดของวัตถุไว้ ในปัจจุบันนี้คำว่า patina มักจะหมายถึงสนิมสีสวยซึ่งเป็นสนิมสีเขียวเข้มทองแดงคาร์บอเนต เกิดขึ้นปกคลุมผิวหน้าของวัตถุอย่างสม่ำเสมอ และดูสวยงาม และช่วยปกป้องเนื้อโลหะที่อยู่ภายใต้ สนิมชนิดนี้ไม่ควรขจัดออก

๒. สนิมที่มีลักษณะเป็นหลุมหรือเป็นรู เป็นลักษณะของการเกิดสนิมเฉพาะแห่ง บริเวณที่เกิดสนิมจะเป็นจุดขนาดเล็กและเป็นหลุมลึกลงไปในเนื้อวัตถุ อาจเกิดเป็นบริเวณกว้างก็ได้ หากปัจจัยต่างๆ เอื้ออำนวย บริเวณที่เกิดสนิมจะมีบางส่วนปูดขึ้นด้านบน แต่ในขณะเดียวกันสนิมก็จะกระจายลึกลงไปด้านล่างด้วย ลักษณะคล้ายหูด สาเหตุที่เกิดเช่นนี้เพราะสำริดที่ถูกฝังอยู่ในดินทำปฏิกิริยากับอนุมูลคลอไรด์ที่มีปะปนอยู่ในดิน อนุมูลคลอไรด์อาจมาจากปุ๋ยที่ใช้ในการเพาะปลูก หรือมาจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือมาจากแหล่งน้ำกร่อยใต้ดินหรือจากน้ำทะเล หรือมาจากแหล่งเกลือสินเธาว์ บางส่วนของเนื้อโลหะทำหน้าที่เป็นตัวให้อิเล็กตรอน ทำให้โลหะจุดนั้นเป็นประจุบวกและเกิดวงจรไฟฟ้าขึ้น จึงทำให้เนื้อโลหะตรงจุดที่มีการให้อิเล็กตรอนเกิดการกัดกร่อนลึกลงไปในเนื้อโลหะ สำริดที่จัดแสดงอยู่ใกล้ทะเล จะมีละอองของน้ำทะเลหรือน้ำฝนที่มีอนุมูลคลอไรด์มาเกาะบนผิวสำริด ทำให้เกิดสนิมกัดกร่อนชนิดนี้ได้
สนิมของทองแดงจะปกคลุมผิวเดิมของวัตถุ และเปลี่ยนคุณสมบัติของโลหะทองแดง ที่มองเห็นได้ชัดเจนคือการเปลี่ยนสี ทำให้ผิวโลหะหมองคล้ำ ขาดความแข็งแรงและขาดความคงทน ทำลายรูปร่างของผิวเนื้อโลหะเดิม ทำให้โลหะเปลี่ยนแปลงไปโดยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีระหว่างโลหะทองแดงกับอนุมูลต่างๆดังกล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโลหะทองแดงทำปฏิกิริยากับอนุมูลคลอไรด์จะเกิดสนิมชนิดที่มีอันตรายที่เรียกกันว่า สนิมอันตรายหรือสนิมกัดกร่อนลักษณะเป็นผงหรือขุยสีเขียวอ่อน เกิดขึ้นเป็นจุดบนผิวโลหะทองแดงหรือโลหะผสมของทองแดง สนิมชนิดนี้เป็นสนิมที่มีอันตรายมากที่สุดต่อโลหะผสมของทองแดง เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะสามารถลุกลามทำลายความมั่นคงแข็งแรงของโลหะให้หมดไป โดยกัดทำลายเนื้อโลหะให้เปลี่ยนไปเป็นสนิม ทำให้ลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติต่างๆ ของวัตถุเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน และสุดท้ายวัตถุทั้งชิ้นจะถูกทำลายผุพังอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจจะคงรูปร่างอยู่ได้

การป้องกันการเสื่อมสภาพ
อัตราการชำรุดเสื่อมสภาพของสำริดจะลดน้อยลง หากได้รับการดูแลรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้อง หากพบว่าสำริดมีฝุ่นหรือดินเกาะ ควรขจัดออกโดยการใช้ไม้ปลายแหลมสะกิดออก และใช้แปรงขนอ่อนๆปัดออก หลีกเลี่ยงการใช้วิธีการที่รุนแรง หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ทำความสะอาดแต่พอสมควร ไม่ควรทำความสะอาดมากเกินไป จนทำลายสนิมที่ดีของสำริด หากยังไม่รักษาสนิมกัดกร่อนได้ ควรเก็บรักษาวัตถุในที่ที่แห้ง เพื่อป้องกันมิให้สนิมกัดกร่อนลุกลามกระจายมากขึ้น
การหยิบยกเคลื่อนย้ายที่ไม่ถูกวิธีเป็นสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้สำริดชำรุดเสื่อมสภาพมากขึ้น การจับต้องเคลื่อนย้ายอย่างไม่ระมัดระวังทำให้เกิดรอยขีดข่วน หักงอ บิดเบี้ยว หรือเกิดการแตกหักได้ ดังนั้นควรเพิ่มความระมัดระวังและเอาใจใส่ สิ่งที่ควรปฏิบัติขณะหยิบยกเคลื่อนย้ายวัตถุสำริดมีดังนี้

๑. ตรวจสภาพวัตถุสำริดก่อนการหยิบยกเคลื่อนย้าย พยายามหลีกเลี่ยงการจับบริเวณที่มีความเปราะบางแตกหักง่ายหรือบริเวณที่มีการเชื่อมต่อโลหะไว้ หลีกเลี่ยงการแตะบริเวณที่มีการเขียนสี

๒. ควรสวมถุงมือผ้าในการหยิบยกเคลื่อนย้าย เนื่องจากมือมักจะมีคราบเหงื่อและไขมัน ทำให้เกิดรอยนิ้วมือรอยเปื้อนบนวัตถุได้และก่อให้เกิดความเสื่อมสภาพในเวลาต่อมา ควรใช้ถุงมือสีขาว เนื่องจากสังเกตได้ง่ายว่าถุงมือสะอาดหรือไม

๓. ควรใช้มือทั้งสองข้างรองรับน้ำหนักของวัตถุไม่ว่าวัตถุจะมีน้ำหนักเบาก็ตาม ลักษณะการรองรับควรใช้มือข้างหนึ่งจับตรงบริเวณที่มีความมั่นคงแข็งแรง ไม่เปราะหักง่ายและมืออีกข้างหนึ่งจับในลักษณะประคองไว้ไม่ให้เสียความสมดุลย์ หลีกเลี่ยงการหยิบยกในลักษณะที่หิ้ว

๔. การเคลื่อนย้ายวัตถุสำริดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ควรใช้รถเข็น หากวัตถุนั้นมีน้ำหนักไม่มากนัก ควรจัดหาถาดหรือตระกร้าแต่ต้องมีวัสดุนุ่มรองรับข้างใต้เพื่อป้องกันการกระแทก เช่น โฟม ฟองน้ำ แผ่นพลาสติกกันกระแทก

๕. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายวัตถุจำนวนมากในคราวเดียวกัน และควรมีวัสดุห่อหุ้มวัตถุเพื่อป้องกันการเสียดสีระหว่างกัน เช่น การใช้ผ้าฝ้ายสีขาวที่ซักแล้ว กระดาษสา กระดาษทิชชู พลาสติกกันกระแทก

๖. จัดกำลังคนที่ต้องใช้ในการเคลื่อนย้ายให้พอเหมาะกับน้ำหนักและปริมาณของวัตถุ

๗. มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า หยิบยกเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวัง ไม่รีบร้อนจนเกินเหตุที่อาจทำให้วัตถุเกิดการพลัดหล่นหรือสะดุดขาผู้ปฏิบัติงานจนเกิดการหกล้มเป็นเหตุให้วัตถุเกิดการแตกหัก หรือบุบเบี้ยว

๘. วัตถุที่มีรูปทรงสูง ต้องเคลื่อนย้ายในแนวนอน หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายในแนวตั้ง ต้องแน่ใจว่ามีการประคองด้วยความมั่นคง

๙. ควรหยิบยกให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จำเป็นเนื่องจากมิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อใดกับวัตถุขณะทำการเคลื่อนย้าย

๑๐. ขณะเคลื่อนย้ายสำริด ควรถอดเครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะออกจากตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นาฬิกา แหวน กำไล หัวเข็มขัด กระดุม ฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงรอยขีดข่วนบนสำริด

ข้อควรระวังในการเก็บรักษาและจัดแสดง
สำริดทำปฏิกิริยากับความชื้นและก๊าซต่างๆในอากาศแล้วเกิดเป็นสนิมชนิดต่างๆได้เร็วมาก ดังนั้นจึงควรป้องกันการเกิดสนิมดังกล่าว โดยเก็บรักษาหรือจัดแสดงในที่แห้งๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีหรือวัตถุสำริดที่มีสนิมกัดกร่อนเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุรักษ์ โดยทั่วไปวัตถุประเภทโลหะควรเก็บในบริเวณที่มีความชื้นสัมพัทธ์ ๓๐% จะช่วยป้องกันการเกิดสนิมได้เป็นอย่างดีแต่เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงเป็นการยากที่จะควบคุมระดับความชื้นให้ต่ำมากๆได้ วัตถุสำริดควรเก็บอยู่ในที่ที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน ๕๕% ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องใช้สารดูดความชื้นภายในตู้จัดแสดงหรือตู้ที่จัดเก็บวัตถุ สารดูดความชื้นมีหลายชนิด เช่น แคลเซียมคลอไรด์ ซิลิกาเจล สารดูดความชื้นที่หาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมใช้คือ ซิลิกาเจล

โดยจะต้องใช้ซิลิกาเจลปริมาณพพอเหมาะ จึงจะสามารถควบคุมความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากต้องการรักษาระดับความชื้นให้ต่ำกว่า ๕๐% ควรใช้ซิลิกาเจลอย่างน้อย ๔-๕ กิโลกรัมต่อปริมาตร ๑ ลูกบาศก์เมตร และควรต้องหมั่นเปลี่ยนซิลิกาเจล เมื่อเครื่องวัดความชื้นอ่านค่าความชื้นเกิน ๕๐% หรือหากใช้ซิลิกาเจลที่มีสีอยู่ในตัวเอง ควรเปลี่ยนซิลิกาเจลเมื่อสีของซิลิกาเจลเปลี่ยนจากสีน้ำเงินอมม่วงไปเป็นสีม่วงอมชมพู เพราะแสดงว่าซิลิกาเจลนั้นๆ ดูดความชื้นไว้ในตัวเองมากจนไม่สามารถดูดความชื้นที่เพิ่มขึ้นได้อีก ซิลิกาเจลที่เปลี่ยนสีแล้วสามารถนำไปอบให้ร้อน เพื่อไล่ความชื้นออกและนำกลับมาใช้ได้อีก

การเก็บรักษาวัตถุสำริดควรเก็บในภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ปิดได้มิดชิด เช่น ตู้ กล่อง ถุงพลาสติก ฯลฯ เพื่อป้องกันก๊าซต่างๆ ที่มาสัมผัสกับวัตถุ วัตถุที่มีขนาดเล็กอาจเก็บในถุงโพลีเอทธีลีน (polyathylene) ที่มีซิปปิดถุง ซึ่งสามารถป้องกันทั้งความชื้นและก๊าซได้พอสมควร โดยไม่ทำให้เกิดสนิมเพิ่มขึ้น หรืออาจป้องกันความชื้นและก๊าซที่จะสัมผัสกับวัตถุโดยการทาสารเคลือบผิวประเภทอะคริลิคที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

Categories
เหรียญในรัชกาลที่ 5 ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่๕ (เหรียญย่อ)

ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่ ๕ (เหรียญย่อ)

ชุดเหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน รัชกาลที่๕ (เหรียญย่อ)

เหรียญราชอิสริยาภรณ์ชนิดย่อส่วน ใช้ประดับในการแต่งเครื่องแบบเพื่อร่วมงานราตรีสโมสร ซึ่งเป็นประเพณีนิยมมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ จวบจนรัชกาลปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากงานราตรีสโมสรในสมัยก่อนมักจะมีการลีลาศ ซึ่งการประดับเหรียญและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปกติอาจเกิดความไม่สะดวก จึงนิยมประดับเหรียญชนิดย่อส่วนแทน

คำบรรยายภาพ: เหรียญราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน จากซ้ายไปขวา เหรียญรัตนาภรณ์ วปร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว), เหรียญรัชฎาภิเษกมาลา (เหรียญเปลือย), เหรียญประพาสยุโรปครั้งที่๑, เหรียญทวีธาภิเศก, เหรียญรัชมงคล, เหรียญรัชมังคลาภิเศก, และเหรียญบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
คำบรรยายภาพ: เหรียญรัชฎาภิเศกมาลาย่อส่วน 
คำบรรยายภาพ: เหรียญรัชมังคลาภิเศกย่อส่วน

สำหรับระเบียบการประดับเหรียญราชอิสริยาภรณ์ชนิดย่อส่วน ขอทำการคัดย่อ และเรียบเรียงจาก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ Website Thai Royal Navy ดังนี้

วิธีประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เครื่องแบบสโมสร 
ชึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบเต็มยศ สำหรับเวลาค่ำที่เรียกว่า Full Dress Tuxedo หรือ White Tie ให้ปฏิบัติดังนี้

  • ๑. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดประดับหน้าอกเสื้อ สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน ขนาด ๑ ใน ๓ ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน ที่ปกเสื้อเบื้องซ้ายของเสื้อชั้นนอก ใต้เครื่องหมายสังกัดพองาม หากไม่มีเครื่องหมายสังกัด ให้ประดับที่ปกเสื้อพองาม
  • ๒. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอมีดารา สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน โดยไม่ย่อส่วนหากได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ หรือชนิดคล้องคอมีดาราหลายดวง ให้ประดับเฉพาะเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่มีลำดับเกียรติสูงสุดเท่านั้น โดยคล้องดวงตราให้แพรแถบ อยู่ใต้ผ้าผูกคอ ส่วนดาราให้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้ายด้านนอก
  • ๓. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดสายสะพาย สำหรับเครื่องแบบสโมสร ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน โดยให้สวมสายสะพายทับเสื้อตัวใน โดยไม่สวมสายสร้อย
  • ๔. การแต่งกายเครื่องแบบสโมสรที่มีหมายกำหนดการระบุ ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่ได้รับพระราชทาน โดยไม่ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ย่อส่วน ทหารหญิงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญในโอกาสที่แต่งเครื่องแบบทหาร ให้ใช้ห้อยทับแพรแถบ และประดับเช่นเดียวกับ ทหารชาย ในโอกาสที่นัดหมาย ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญ ให้ประดับเหรียญราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ เท่านั้น เช่น เหรียญชัยสมรภูมิ เหรียญพิทักษ์เสรีชน เหรียญจักรมาลา เหรียญที่ระลึกต่าง ๆ ห้ามนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกประเภทมาประดับ
Categories
กิจกรรม

งานรำลึกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระ ๑๐๐ ปี สวรรคต

งานนิทรรศการ เหรียญที่ระลึกรัชกาลที่ ๕ จัดโดยพิพิธภัณฑ์เหรียญที่ระลึกไทย (www.thai-medal.com) ณ พิพิธภัณฑ์ธงสยาม เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี การสวรรคตรัชกาลที่ ๕ วันที่ ๒๓ ตุลาคม พศ ๒๕๕๓ จัดเป็นการแสดงเหรียญที่ระลึกรัชกาลที่๕ ที่ครบถ้วน มากมายที่สุด ในรอบหลายปี เท่าที่เคยมีการจัดแสดงเหรียญที่ระลึกกันมา

งานนี้ได้รับความสนใจจากแขกผู้มีเกียรติ และผู้ใหญ่ในวงการเป็นอย่างมาก ในภาพ คุณธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ (คุณอ้วน ต้นฉบับ) ให้เกียรติบรรยายเกร็ดประวัติเหรียญรัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่ต้นรัชกาล จนถึงช่วงท้ายรัชสมัย ในภาพบน ซ้ายมือสุด พลเรือตรี วีระพันธ์ บางท่าไม้ (เสื้อฟ้า) ผู้คร่ำหวอดในวงการเหรียญที่ระลึกอีกท่านหนึ่ง กำลังชมเหรียญด้วยความสนใจ

ช่วงสำคัญของรายการ อยู่ที่การเสวนาเรื่องงานการประกวดตั้งโต๊ะ และวิเคราะห์เกร็ดประวัติเชิงลึก นำโดยอาจารย์กล้วย ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียดยิบ และ ยังสืบทอดความรู้ และ ข้อมูลโดยตรงจากบรรพบุรุษ และ ยังเอื้อเฟื้อภาพถ่ายงานประกวดตั้งโต๊ะ ที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อนอีกด้วย

ในภาพ คุณประไพสิทธิ์ ตัณฑ์เกยูร (ขวาสุด) นักสะสมศิลปวัตถุ ระดับแนวหน้าของประเทศ  กำลังเยี่ยมชมนิทรรศการ

คุณนิรันดร วิศิษฎ์สิน (ถือไมค์) กำลังร่วมเสวนาเรื่องเหรียญ ร.๕ อย่างออกรส

ส่วนจัดแสดงเหรียญรางวัลการตั้งโต๊ะ ชนิดครบถ้วนกระบวนความ รวมถึงกรอบยู่อี่ ที่หาชมยากมาก

ส่วนหนึ่งของเหรียญแพรแถบ ที่หาชมยากยิ่ง นำมาจัดแสดงชนิดครบเครื่อง

กล่องพระราชทานงานประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ของสะสมระดับ Master Piece ที่หาชมได้ยากยิ่ง

เหรียญที่ระลึก ร.๕ ที่ได้จัดแสดงในครานี้ มาแบบ Full Package เปี่ยมทั้งข้อมูล ความรู้ และได้ชมเหรียญแท้ที่หายากและทรงคุณค่ายิ่ง

ทีมงาน Thai-medal.com จากขวาไปซ้าย คุณอุเทน เพิ่มพูนธนลาภ, กัปตันสามารถ เวสุวรรณ, คุณนิรันดรวิศิษฎ์สิน, และ คุณพฤฒิพงษ์ เชิดเกียรติกุล ระหว่างการตระเตรียมนิทรรศการ

บรรดาเซียนเหรียญ และ นักสะสม กำลังเสวนา และ ชมเหรียญกัน ในระหว่างรอพิธีเปิดงาน ที่เห็นในภาพ (ซ้ายไปขวา) กัปตันสามารถ, คุณศราวุฒิ แห่งร้านเฮียไจ๊ Thaprachan.com, เและ คุณเล็ก Cokethai.com

งานแสดงเหรียญครั้งนี้ แม้จะเป็น event เล็ก ๆ แค่หนึ่งวัน แต่ก็เปี่ยมด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ยิ่ง และ ทั้ง วิทยากร และ วัตถุจัดแสดง ก็เป็นระดับคุณภาพชั้นแนวหน้า และ ที่สำคัญที่สุด ทางทีมงาน Thai- medal.com ขอขอบคุณอาจารย์พฤฒิพล ประชุมผล และ คุณจันทกาญจน์ คล้อยสาย ที่กรุณาเอื้อเฟื้อสถานที่มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 

งานแสดงเหรียญที่ระลึกรัชกาลที่๕ ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระ ๑๐๐ ปีการสวรรคต จัดโดย พิพิธภัณฑ์เหรียญที่ระลึกไทย (www.thai-medal.com)

เอื้อเฟื้อสถานที่โดยพิพิธภัณฑ์ธงสยาม (www.siamflag.org)

Categories
เกร็ดความรู้

การจำแนกประเภทของเหรียญ

  1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน

    ผลิตออกใช้ สำหรับประชาชนได้มีไว้จับจ่ายใช้สอยเป็นเงินปลีกย่อยผลิตออกมาใช้ตามระบบเศรษฐกิจ สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมี 8 ชนิดราคา คือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาท 10 บาท เปลี่ยนศักราชบนหน้าเหรียญตามปีที่ผลิต

  2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก

    ได้แก่ เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตขึ้นเป็นครั้งคราวในโอกาสพิเศษที่สำคัญที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ บุคคลสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมือง  และองค์การระหว่างประเทศเพื่อเป็นเกียรติยศชื่อเสียง และศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ผลิตเป็นครั้งคราวและมีจำนวนจำกัด มักจะผลิตด้วยโลหะที่มีค่าสูง เช่น ทองคำ เงิน กษาปณ์ที่ระลึกใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เช่นเดียวกับกษาปณ์หมุนเวียน แต่ประชาชนมักจะนิยมเก็บไว้เป็นที่ระลึกอย่างของมีค่า หรือเพื่อการสะสม

  3. เหรียญที่ระลึก

    ตามความหมายสากลหมายถึงเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกหรือเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ที่สำคัญของบ้านเมืองในระยะเวลานั้นๆ โดยมีสัญญลักษณ์หรือการจำลองภาพของเหตุการณ์สำคัญนั้นๆ ลงไว้พร้อมกับคำจารึกและเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสำหรับเหรียญที่ระลึกของไทยนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์และประวัติศาสตร์ของประเทศ

  4. เหรียญราชอิสริยาภรณ์

    ที่นับเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (เรียกอย่างลำลอง ว่า เหรียญแพรแถบ) หมายถึง เหรียญต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ได้แก่ ข้าราชบริพาร ข้าราชการ ทหารที่ออกศึกสงคราม และสำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญต่างๆ และที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บุคคลประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามที่ทางราชการกำหนด

    เหรียญราชอิสริยาภรณ์นี้แบ่งได้เป็น ๔ ประเภท ดังนี้

    – เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการสงคราม หรือพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในความกล้าหาญ
    – เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน
    – เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์
    – เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก



เหรียญที่ระลึกเท่าที่ปรากฎ พอจะแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆ ตามความมุ่งหมายของผู้สร้างดังนี้:

  • เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
    1. งานบรมราชาภิเศก
    2. งานเฉลิมพระชนม์พรรษา
    3. พระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีลงสรงสนาน เฉลิมพระสุพรรณบัฐ งานเฉลิมพระที่นั่งสำคัญ
    4. งานพระบรมศพ
  • เกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ บุคคลสำคัญ
    – คงอนุโลมตามข้อ 1. เช่น วันประสูติ พิธีสถาปนาพระอิสริยยศ วันสิ้นพระชนม์ ฯลฯ
  • ที่ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ
    1. การสมโภชพระนครครบรอบ 100 ปี 150 ปี 200 ปี
    2. การเปิดหอพระสมุด อนุสาวรีย์ ฯลฯ
    3. การแสดงนิทรรศการ การเกษตร อุตสาหกรรม ฯลฯ
    4. รางวัล
Categories
หมวดเหรียญไทยที่ออกโดยชาวต่างชาติ

พ.ศ. ๒๒๒๙ เหรียญโกษาปาน

เหรียญที่ระลึกพระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) ถวายพระราชสาส์นแด่ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ณ พระราชวังแวร์ซายส์

นิรันดร วิศิษฎ์สิน

คำบรรยายภาพ: เหรียญที่ระลึกพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับพระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) พ.ศ. ๒๒๒๙ แบบที่ผลิตขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔

เหรียญที่ระลึก พระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นเหรียญที่ฝรั่งเศสผลิตขึ้นเป็นที่ระลึก ในคราวที่ออก พระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) ที่เรียกขานกันทั่วไปว่า โกษาปาน ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง ออกพระวิสุทธสุนทร ราชฑูตในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเจ้ากรุงสยามในสมัยกรุงศรีอยุธยา ถวายพระราชสาส์นแด่ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ ท้องพระโรงพระราชวังแวร์ซายส์ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙ เป็นเหรียญที่ระลึกเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย เหรียญนี้มี ๓ แบบ กล่าวคือ

แบบแรกผลิตขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๔ เซนติเมตร

แบบที่ผลิตขึ้นย้อนยุคที่ผลิตขึ้นภายหลังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา อีก ๒ แบบคือ แบบ R ใหญ่ และ R เล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ เซนติเมตร

ข้อสังเกตุของเหรียญทั้ง ๓แบบนี้คือ ที่ขอบเหรียญที่ผลิตในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ไม่ได้ตอกตราหรือโค๊ด ทั้งนี้เนื่องจากโรงกระษาปณ์กรุงปารีสเริ่มตีตราที่ขอบเหรียญมาตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นตราตำแหน่งผู้บัญชาการโรงกระษาปณ์ มีทั้งหมด ๖แบบ ส่วนแบบ R เล็ก และ R ใหญ่ ตีตราแบบที่ ๖ มีชื่อว่า Cornucopia ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

เหรียญแบบ R ใหญ่ ที่ทำย้อนยุค

เหรียญแบบ R เล็ก ที่ทำย้อนยุค

ด้านหน้า พระบรมรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีตัวอักษรภาษาละติน ความว่า

LUDOVICUS MAGNUS REX CHRISTIANISS เแปลว่าหลุยส์ มหาราชา ชาวคริสต์

LUDOVICUS เป็นชื่อเฉพาะ หมายถึง หลุยส์ ที่เป็นพระนามของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔

MAGNUS คือ GREAT ในภาษาอังกฤษ แปลว่า มหาราช
REX คือ KING ในภาษาอังกฤษ แปลว่า พระมหากษัตริย์
CHRISTIANISS เป็นชื่อเฉพาะ คือ CHRISTIAN ในภาษาอังกฤษ คือ ชาวคริสต์

ด้านหลัง ภาพพระยาโกษาธิบดี ( โกษาปาน ) ถวายพระราชสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ ท้องพระโรงพระราชวังแวร์ซายส์ มีตัวอักษรภาษาละติน สองบรรทัด

ORATORES REGIS SIAM แปลว่า ราชฑูตแห่งพระราชากรุงสยาม
M DC LXXXVI ปี ค.ศ. ๑๖๘๖

ORATORES คือ ENVOY หรือ AMBASSADOR ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ราชฑูต

REGIS หรือ REX คือ KING ในภาษาอังกฤษ แปลว่า พระราชา หรือ พระมหากษัตริย์


SIAM เป็นชื่อเฉพาะ หมายถึง กรุงสยาม


M = ๑๐๐๐ DC =๖๐๐ LXXX = ๘๐ VI = ๖ หมายถึง ปีค.ศ. ๑๖๘๖ หรือ พ.ศ. ๒๒๒๙

ส่วนด้านบน มีตัวอักษรภาษาละตินความว่า

FAMA VIRTUTIS แปลว่า  เกียรติยศแห่งคุณความดี


FAMA คือ FAME ในภาษาอังกฤษ แปลว่า กิตติศัพท์ ชื่อเสียง เกียรติยศ

VIRTUTIS คือ EXCELLENCE หรือ VIRTUE ในภาษาอังกฤษแปลว่า คุณงามความดี


EXCELLENCY เป็นคำยกย่องผู้มีเกียรติยศสูง เช่น เอกอัครราชฑูต

พระยาโกษาธิบดี ( ปาน )

พระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) ได้รับการยกย่องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เป็นอย่างมากดังที่ปรากฏความในพระราชสาส์นของพระองค์ยินดีมายังสมเด็จพระนารายณ์มหาราชความว่า การที่พระเจ้ากรุงสยามทรงพระประสงค์ที่จะผูกไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสนี้ไม่มีสิ่งใดอาจช่วยให้สำเร็จได้สะดวกเท่ากับการที่พระองค์ทรงเลือกขุนนางไทยที่มีอัธยาศัยและความสามารถในราชการส่งมาปรึกษาการเมืองตรงต่อเราทีเดียว และราชกิจอันนี้ พระองค์ก็ได้ทรงกระทำสมใจเรานึกอยู่แล้ว อนึ่ง ว่าแต่การที่พระองค์ทรงเลือกสรรราชฑูตส่งมายังเราคราวนี้อย่างเดียว ก็เป็นพยานอ้างถึงพระปรีชาญาณอันสุขุมของพระองค์ดีกว่าคำกล่าวเล่าลือใดๆ รามาสังเกตุดูลักษณะมรรยาทแห่งราชฑูตของพระองค์นี้รู้สึกว่าเป็นคนรอบคอบ รู้จักปฏิบัติราชกิจของพระองค์ถ้วนถี่ดีมาก หากเราจะมิหยิบฉวยโอกาสนี้เพื่อเผยแผ่ความชอบแห่งราชฑูตของพระองค์บ้างก็จะเป็นการ อยุติธรรมไป เพราะราชฑูตได้ปฏิบัติล้วนแต่ที่ถูกใจเราทุกอย่าง โดยแต่น้ำคำที่พูดออกมาทีไรแต่ละคำๆก็ดูน่าปลื้มใจและน่าเชื่อทุกคำฯ

นอกจากนี้ ท่านบาทหลวง เดอ ลา แชส ยังได้สรรเสริญพระยาโกษาธิบดี ( ปาน )ด้วย ดังความในสมณสาส์นมายังสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า เจ้าคุณ ( โกษาปาน )ได้ปฏิบัติตนอย่างเฉลียวฉลาดและสุภาพเรียบร้อยทุกประการ เป็นที่พอใจของชาวฝรั่งเศสทั่วไป นับตั้งแต่ชั้นพลเมืองจนถึงพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่สุด อาตมาภาพได้เคยเห็นการต้อนรับราชฑูตของต่างประเทศมาแต่ก่อน ก็ ยังไม่เคยเห็นราชฑูตประเทศใดได้รับเกียรติยศเป็นพิเศษเท่ากับราชฑูตที่พระองค์ส่งมาเจริญทางพระราชไมตรีคราวนี้เลย ฯพระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับกรุงสยามเป็นอย่างมากทำให้ชาวฝรั่งเศสได้เห็นว่าเมืองไทยไม่ได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนแต่มีวัฒนธรรมสูงส่ง

คำในภาษาละตินที่ว่า FAMA VIRTUTIS นี้มีความหมายได้สองนัยกล่าวคือ ๑) ใช้ยกย่องเป็นเกียรติยศแด่พระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) ราชฑูตกรุงสยามที่ได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ ตามหลักฐานที่นำเสนอมาแล้วข้างต้น ๒) ใช้ยกย่องพระเกียรติยศของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่มีพระเกีรติยศร่ำระบือไกลมาถึงกรุงสยาม

ด้านล่างของเหรียญยังมีตัวอักษรแสดงชื่อศิลปินผู้ทำแม่พิมพ์เหรียญคือ

LI ที่ปราากฏบนเหรียญด้านหน้าใต้พระบรมรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เป็นตัวย่อของชื่อศิลปินผู้ทำแม่พิมพ์เหรียญที่ทำขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔

R ที่ปรากฏใต้พระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔บนเหรียญที่ทำย้อนยุคนั้นแต่เดิมเข้าใจกันว่ามาจากคำว่า Restrike แต่เมื่อได้ทำการสอบค้นจากผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสแล้วได้ความว่าเป็นชื่อของศิลปินผู้ทำแม่พิมพ์เหรียญนามว่า Joseph ROETTIERS ( ๒๑๗๘ – ๒๒๔๖ ) เป็นชาวเฟล็มมิช คือ ชาวดัทช์ เกิดในตระกูลช่างทองและช่างทำแม่พิมพ์เหรียญ เคยรับราชการในโรงกระษาปณ์หลวงอังกฤษ ( The Royal Mint ) ต่อมาได้รับราชการในโรงกระษาปณ์กรุงปารีส ( Monniae De Paris ) แล้วได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าช่างทำแม่พิมพ์เหรียญในปี พ.ศ. ๒๒๒๕

ส่วนด้านหลัง มีตัวอักษร MAUGER F เป็นชื่อของศิลปินผู้ทำแม่พิมพ์เหรียญคือ Jean MAUGER ชาวฝรั่งเศส เกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๒๐๑ท่านผู้นี้มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น มีผลงานการทำแม่พิมพ์เหรียญสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มากมายได้รับการยกย่องว่าเป็นช่างทำแม่พิมพ์เหรียญประจำพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ( Medailliste du Roi ) Jean MAUGER เสียชีวิตเมื่อ วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๒๖๕ อายุ ๗๔ ปี

บรรณานุกรม
– ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๓ , ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๐ ,โกษาปานไปฝรั่งเศส ภาค ๔ , คุรุสภา , ๒๕๑๒
– สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร , ชุมนุมเรื่องน่ารู้ , กทม , ๒๕๐๘ – GORNY & MOSCH , Auktion No. 146 , 6 Marz 2006.
– Leonard FORRER, Biographical Dictionary of Medallists III B.C. 500 – A.D. 1900 Vol I and Vol, SPINK & Sons, LONDON, 1904 and 1907.
– Wikipedia , the free encyclopedia.

Categories
พ.ศ.๒๔๐๗ เหรียญแต้เม้งทงป้อ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเหรียญแรกของไทย

พ.ศ.๒๔๐๗ เหรียญแต้เม้งทงป้อ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเหรียญแรกของไทย

พ.ศ.๒๔๐๗ เหรียญแต้เม้งทงป้อ เหรียญที่ระลึกเหรียญแรกของไทย

ในปีพุทธศักราช ๒๔๐๗ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญเฉลิมพระชันสา เป็นชนิดทองคำอย่างหนึ่ง เงินอย่างหนึ่ง มีน้ำหนัก ๔ บาท หรือ ๖๐ กรัมเท่ากับจำนวนพระชนมายุของพระองค์ เพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึก และโปรดเกล้าฯ ให้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเนื่องจากเหรียญนี้มีอักษรจีนอยู่ด้านหลัง อ่นออกเสียงสำเนียงแต้จิ๋วว่า “ แต้ เม้ง ทง ป้อ ” ซึ่งแปลว่าเงินตราของแต้เม้ง ซึ่งเป็นพระนามภาษาจีนของรัชกาลที่ ๔ ทำให้เหรียญนี้ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่าเหรียญแต้ เม้ง ซึ่งเหรียญนี้นับได้ว่า นอกจากจะเป็นทั้งเหรียญกษาปณ์ (คือมีราคาหน้าเหรียญ ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ) แล้วก็ยังถือว่าเป็นเหรียญที่ระลึกเหรียญแรกของไทยอีกด้วย นอกจากนี้เหรียญนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ทรงโปรดฯ ให้มีพระบรมราชานุญาต นำไปใช้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้อีกด้วย

อนึ่ง พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษานี้ เพิ่งเริ่มมีเป็นทางการครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๔ เนื่องด้วยผู้คนแต่เก่าก่อน มีคติความเชื่อว่าหากผู้ใดรู้วัน เดือน ปีเกิดของตนแล้ว อาจนำไปประกอบเวทมนต์ ไสยศาสตร์ต่างๆได้ ดังนั้นพระมหากษัตริย์ในยุคก่อนหน้านี้ จึงมิได้ให้ปรากฏว่าได้มีการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา แต่อย่างใด

เหรียญที่นำรูปมาลงให้ดูนี้เป็นชนิดเนื้อเงิน มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ และผิวออกสีเงินตามธรรมชาติ

ทางด้านหลัง มีอักษรจีนแสดงไว้ ๔ ทิศ มีลายแก้วชิงดวง และคำว่า “ กรุงสยาม ” อยู่ตรงกลาง

ภาพล่าง เมื่อนำมาเรียงเข้าชุด กับเหรียญกษาปณ์ชนิด ๒บาท ๑บาท ๒สลึง ๑สลึง ๑เฟื้อง และ ๒ไพ นับว่ามีความสวยงามเป็นอย่างมาก อันที่จริงแล้วเหรียญกษาปณ์รัชกาลที่ ๔ ชุดนี้ ถูกออกแบบได้อย่างงดงาม อ่อนช้อย และเรียงเป็นใบเถา ในยุคปัจจุบัน เหรียญกษาปณ์ชุดนี้ จัดเป็น World Class Collection ที่นักสะสมจากทั่วโลกนิยม และเสาะแสวงหา

พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว
ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ ปีพ.ศ.๒๔๐๗ ซึ่งเป็นปีที่ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา